วันอาทิตย์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2557

กฎหมายแรงงาน


กฎหมายแรงงาน  


ที่มาโดย : กระทรวงยุติธรรม


กฎหมายแรงงาน
๑. ความสมบูรณ์ของการทำสัญญาจ้างแรงงาน
นายจ้างและลูกจ้างมีสิทธิที่จะแสดงเจตนาทำสัญญาจ้างแรงงานกันโดยทำเป็นหนังสือหรือ
โดยปากเปล่าก็ได้ แต่ต้องอยู่ภายในขอบเขตของกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และกฎหมายคุ้มครองแรงงาน
ซึ่งเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ซึ่งถ้ามีการแสดงเจตนาขัดต่อกฎหมายดังกล่าว
ย่อมทำให้ตกเป็นโมฆะได้

๒. การคุ้มครองกำหนดเวลาในการทำงาน
ให้นายจ้างกำหนดเวลาทำงานปกติของลูกจ้างไว้ดังต่อไปนี้
(๑) งานอุตสาหกรรม เช่น โรงงาน การทำเหมืองแร่ เหมืองหิน ไม่เกินสัปดาห์ละ ๔๘ ชั่วโมง
(๒) งานขนส่ง เช่น การส่งของ การขับรถโดยสาร ไม่เกินวันละ ๘ ชั่วโมง
(๓) งานที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือร่างกายของลูกจ้างตามที่กระทรวงมหาดไทยจะได้กำหนด
เช่น งานที่ต้องทำใต้ดิน, ในน้ำ งานผลิตหรือขนส่งวัตถุระเบิด วัตถุไวไฟ เป็นต้น ไม่เกินสัปดาห์ละ ๔๒ ชั่วโมง
(๔) งานพาณิชยกรรม หรืองานอื่น ซึ่งไม่ใช่งานตามข้อ (๑), (๒), (๓) เช่น การซื้อขาย, แลกเปลี่ยน,
ให้, เช่าทรัพย์, รับประกันภัย การธนาคารไม่เกินสัปดาห์ละ ๕๔ ชั่วโมง

๓. สิทธิของลูกจ้างในการพักผ่อนระหว่างทำงาน
- ในวันที่ทำงาน นายจ้างต้องกำหนดให้ลูกจ้างมีเวลาพักอย่างน้อย ๑ ชั่วโมงต่อวัน ภายหลังที่ได้ให้
ทำงานไปแล้วไม่เกิน ๕ ชั่วโมง แต่นายจ้างและลูกจ้างจะตกลงกันล่วงหน้าให้มีเวลาพักน้อยกว่าครั้งละ ๑
ชั่วโมงก็ได้ แต่ต้องไม่น้อยกว่าครั้งละ ๒๐ นาที และเมื่อรวมกันแล้วต้องมีเวลาพักไม่น้อยกว่า ๑ ชั่วโมง

- กรณีที่กล่าวมา ไม่ใช้บังคับแก่ลูกจ้างที่ทำงานในหน้าที่ที่มีลักษณะต้องทำติดต่อกันไปโดยได้รับ
ความยินยอมจากลูกจ้างแล้ว หรือเป็นงานฉุกเฉินที่หยุดไม่ได้

๔. สิทธิของลูกจ้างในการมีวันหยุด
(๑) ชนิดของวันหยุด
- วันหยุดประจำสัปดาห์ ลูกจ้างมีสิทธิหยุดอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 วัน โดยวันหยุดประจำสัปดาห์
ต้องมีระยะห่างกันไม่เกิน ๖ วัน
 นายจ้างและลูกจ้างจะตกลงกันล่วงหน้ากำหนดให้มีวันหยุดประจำสัปดาห์
วันใดก็ได้ หรืออาจจะตกลงล่วงหน้าให้มีการสะสมและเลื่อนวันหยุดประจำสัปดาห์ไปเมื่อใดก็ได้ แต่ต้องอยู่ใน
ระยะเวลาไม่เกิน ๔ สัปดาห์ติดต่อกัน

- วันหยุดตามประเพณี ปีหนึ่งนายจ้างต้องประกาศวันหยุดไม่น้อยกว่า ปีละ ๑๓ วัน โดยรวม
วันแรงงานแห่งชาติด้วย
 และถ้าวันหยุดตามประเพณีวันใดตรงกับวันหยุดประจำสัปดาห์ก็ให้เลื่อนวันหยุดตาม
ประเพณีวันนั้นไปหยุดในวันทำงานถัดไป

- วันหยุดพักผ่อนประจำปี ลูกจ้างที่ทำงานติดต่อกันมาแล้วครบ ๑ ปี มีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปี
ได้อย่างน้อยปีละ ๖ วันทำงาน
 และนายจ้างและลูกจ้างอาจตกลงกันล่วงหน้าสะสมและเลื่อนวันหยุดพักผ่อน
ประจำปีไปรวมหยุดในปีอื่นก็ได้

(๒) สิทธิได้รับค่าทำงานในวันหยุด
- ถ้าจะให้ลูกจ้างมาทำงานในวันหยุดตามข้อหนึ่ง นายจ้างต้องจ่ายค่าจ้างแก่ลูกจ้างไม่น้อยกว่า ๒
เท่าของค่าจ้างในวันทำงาน
 สำหรับลูกจ้างซึ่งไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันหยุด เช่น ลูกจ้างรายวัน แต่ถ้าเป็น
ลูกจ้างซึ่งมีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันหยุดอยู่แล้ว เช่น ลูกจ้างรายเดือน นายจ้างจะต้องจ่ายค่าทำงานในวันหยุดใน
อัตราเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อยกว่า ๑ เท่าของค่าจ้างในวันทำงาน

- สิทธิของลูกจ้างในเรื่องเวลาพักผ่อนและวันหยุดต่าง ๆ ข้างต้นนี้ ไม่รวมถึงลูกจ้างซึ่งทำงานเกี่ยว
กับงานบ้าน เช่น คนรับใช้ จะขอใช้สิทธิลาหยุดต่าง ๆ ไม่ได้

๕. สิทธิลาของลูกจ้าง
- ลูกจ้างมีสิทธิลาป่วยได้ในปีหนึ่งไม่เกิน ๓๐ วันทำงาน โดยมีสิทธิได้ค่าจ้างเท่ากับค่าจ้างในวัน
ทำงานตลอดเวลาที่ลาป่วย
- ลูกจ้างมีสิทธิลาเพื่อรับราชการทหารโดยได้รับค่าจ้างตลอดระยะเวลาที่ลา แต่ไม่เกิน ๖๐ วัน
- ลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงมีครรภ์มีสิทธิลาคลอดก่อนและหลังคลอดครรภ์หนึ่งไม่เกิน ๙๐ วัน โดยได้
รับค่าจ้างเท่ากับค่าจ้างในวันทำงานตลอดระยะเวลาที่ลา แต่ไม่เกิน ๔๕ วัน (วันลาดังกล่าวนับรวมวันหยุด
ด้วย)
- ลูกจ้างที่เป็นกรรมการสหภาพแรงงานมีสิทธิลาเพื่อไปดำเนินกิจการของสหภาพแรงงานในฐานะผู้
แทนลูกจ้างในการเจรจาไกล่เกลี่ย และชี้ขาดข้อพิพาทแรงงานและมีสิทธิลาเพื่อไปประชุมตามที่ราชการ
กำหนดแต่ต้องแจ้งให้นายจ้างทราบล่วงหน้าพร้อมแสดงหลักฐานด้วย และให้ถือว่าวันลาของลูกจ้างนี้เป็นวัน
ทำงาน

๖. สิทธิขอเปลี่ยนงานชั่วคราวของหญิงมีครรภ์
                                            
- หญิงมีครรภ์ซึ่งไม่อาจทำงานในหน้าที่เดิมได้มีสิทธิขอเปลี่ยนงานชั่วคราวก่อนหรือหลังคลอดโดย
แสดงใบรับรองแพทย์แผนปัจจุบันชั้นหนึ่ง ประกอบด้วย

๗. การคุ้มครองแรงงาน
(๑) อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ *
* ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ (ฉบับที่ ๒๐) ประกาศ ณ วันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๓๕ โดยใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๓๕ เป็นต้นไป
๑.๑ ให้กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ เป็นเงินวันละ ๑๑๕ บาท ในท้องที่กรุงเทพมหานคร จังหวัด
สมุทรปราการ จังหวัดนนทบุรี จังหวัดปทุมธานี จังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดนครปฐม และจังหวัดภูเก็ต
๑.๒ ให้กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ เป็นเงินวันละ ๑๐๗ บาท ในท้องที่จังหวัดระนอง จังหวัดพังงา
๑.๓ ให้กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ เป็นเงินวันละ ๑๐๑ บาท ในท้องที่จังหวัดชลบุรี จังหวัดสระบุรี
จังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดเชียงใหม่
๑.๔ ให้กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ เป็นเงินวันละ ๙๔ บาท ในท้องที่จังหวัดที่เหลือทั้งหมด
๑.๕ ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องอัตราค่าจ้างขั้นต่ำมิให้บังคับแก่
(ก) งานเกษตรกรรม ซึ่งได้แก่ งานเพาะปลูก งานประมง ป่าไม้ และเลี้ยงสัตว์
(ข) งานอื่น ๆ ตามที่กระทรวงมหาดไทยจะได้กำหนดกิจการที่ไม่อยู่ภายใต้บังคับกฎหมาย
แรงงานเกี่ยวกับ อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ

- นายจ้างจะจ่ายค่าจ้างเป็นเงินแก่ลูกจ้างน้อยกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำไม่ได้ เว้นแต่เป็นลูกจ้างทดลอง
งาน ซึ่งนายจ้างแจ้งให้ลูกจ้างทราบเป็นหนังสือแต่แรก โดยมีระยะทดลองปฏิบัติงานไม่เกิน ๖๐ วัน

(๒) ค่าล่วงเวลา
- ถ้านายจ้างให้ลูกจ้างทำงานเกินเวลาทำงานปกติให้นายจ้างจ่ายค่าล่วงเวลาไม่น้อยกว่า ๑ ๑/๒
เท่าของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในเวลาทำงานปกติสำหรับเวลาที่ทำเกิน
- ถ้านายจ้างให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาในวันหยุด นายจ้างจะต้องจ่ายในอัตรา ๓ เท่าของค่าจ้าง
ในวันทำงานสำหรับจำนวนชั่วโมงที่ทำงานเกินเวลาทำงานปกติ

ลูกจ้างที่ไม่มีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลา คือ
๒.๑ ลูกจ้างที่นายจ้างให้ไปปฏิบัติหน้าที่ในสถานที่อื่นไม่มีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลาใน
ระหว่างเดินทาง เว้นแต่จะมีข้อตกลงให้นายจ้างจ่ายค่าล่วงเวลาให้
๒.๒ ลูกจ้างที่ทำงานบางลักษณะดังต่อไปนี้ไม่มีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลา
(ก) ลูกจ้างที่มีตำแหน่งผู้อำนวยการ ผู้จัดการ หัวหน้า
(ข) งานขบวนการจัดรถไฟ
(ค) งานขนส่ง
(ง) งานปิดเปิดประตูน้ำหรือประตูระบายน้ำ
(จ) งานอ่านระดับน้ำและวัดปริมาณน้ำ
(ฉ) งานเฝ้าสถานที่หรือดูแลทรัพย์สิน
(ช) งานนอกสถานที่โดยสภาพของงานไม่อาจกำหนดเวลาทำงานแน่นอนได้

(๓) ค่าทำงานในวันหยุด ถ้านายจ้างให้ลูกจ้างทำงานในวันหยุดซึ่ง
- กรณีลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าจ้าง ให้นายจ้างจ่ายค่าทำงานในวันหยุดเพิ่มขึ้น ไม่น้อยกว่า ๑ เท่า
ของค่าจ้างในวันทำงานตามจำนวนชั่วโมงที่ทำงานในวันหยุด
- กรณีลูกจ้างไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้าง ให้นายจ้างจ่ายค่าทำงานในวันหยุด ไม่น้อยกว่า ๒ เท่าของ
ค่าจ้างในวันทำงานตามจำนวนชั่วโมงที่ทำงานในวันหยุด

(๔) ห้ามนำหนี้อื่นมาหักค่าจ้าง ในการจ่ายค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา และค่าทำงานในวันหยุด นายจ้าง
จะนำหนี้อื่นมาหักมิได้ เช่น หนี้เงินกู้ที่ลูกจ้างค้างชำระนายจ้างอยู่ นายจ้างจะหักเงินค่าจ้างของลูกจ้างมาใช้
เงินกู้ที่ลูกจ้างกู้จากนายจ้างไปไม่ได้

๘. สิทธิได้รับเงินทดแทน
                 
- เมื่อลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย หรือเจ็บป่วยจนถึงแก่ความตายเพราะเหตุที่ทำงานให้
นายจ้างหรือขณะทำงาน ให้ลูกจ้างมีสิทธิได้รับเงินทดแทนตามประเภทดังต่อไปนี้

(๑) ค่ารักษาพยาบาล ลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่ารักษาพยาบาลที่จำเป็นต้องจ่าย แต่ไม่เกิน ๓๐,๐๐๐
บาท
(๒) ค่าทดแทน เมื่อลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยจนถึงแก่ความตาย ให้นายจ้างจ่าย
ค่าทดแทนเป็นรายเดือนดังต่อไปนี้

๒.๑ ร้อยละหกสิบของค่าจ้างรายเดือน สำหรับกรณีที่ลูกจ้างไม่สามารถทำงานติดต่อกัน
ได้เกิน ๓ วัน ไม่ว่าลูกจ้างนั้นจะเสียอวัยวะตาม ๒.๒ ด้วยหรือไม่ก็ตาม โดยจ่ายนับแต่วันแรกที่ลูกจ้าง
ไม่สามารถทำงานได้ไปจนตลอดเวลาที่ไม่สามารถทำงานติดต่อกัน แต่ต้องไม่เกิน ๑ ปี
๒.๒ ร้อยละหกสิบของค่าจ้างรายเดือน สำหรับกรณีที่ลูกจ้างต้องสูญเสียอวัยวะบางส่วน
ของร่างกายโดยจ่ายตามประเภทของการสูญเสียอวัยวะ และตามระยะเวลาที่จะต้องจ่ายให้ตามที่กระทรวง
มหาดไทยจะได้กำหนด แต่ต้องไม่เกิน ๑๐ ปี เช่น แขนขาดข้างหนึ่งนายจ้างจะต้องจ่ายค่าทดแทน มี
กำหนด ๔ ปี ๖ เดือน
๒.๓ ร้อยละหกสิบของค่าจ้างรายเดือน สำหรับกรณีที่ลูกจ้างต้องทุพพลภาพ โดยจ่ายตาม
ประเภทของการทุพพลภาพและตามระยะเวลาที่ต้องจ่ายตามที่กระทรวงมหาดไทยจะได้กำหนด แต่ต้องไม่
เกิน ๑๐ ปี
๒.๔ ร้อยละหกสิบของค่าจ้างรายเดือน สำหรับกรณีที่ลูกจ้างถึงแก่ความตาย มีกำหนด ๕ ปี
(๓) ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพ ให้นายจ้างจ่ายเท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็น แต่ไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท
(๔) ค่าทำศพ ให้นายจ้างจ่ายค่าทำศพในจำนวนเงิน ๓ เท่าของค่าจ้างรายเดือน แต่ต้อง
ไม่น้อยกว่า ๕,๐๐๐ บาท และไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท

- การประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ซึ่งเป็นเหตุให้สูญเสียสมรรถภาพในการทำงานของอวัยวะไป
บางส่วนให้ถือว่าลูกจ้างสูญเสียอวัยวะนั้นด้วย

ลูกจ้างจะไม่ได้เงินทดแทนในกรณีดังต่อไปนี้
(๑) เสพเครื่องดองของเมาจนไม่สามารถครองสติได้ หมายถึง ดื่มสุราเมาจนขาดสติ ขาด
ความยั้งคิดซึ่งเคยมีอยู่ก่อน
(๒) จงใจให้ตนเองหรือผู้อื่นประสบอันตราย หรือยอมให้ผู้อื่นทำให้ตนประสบอันตราย เช่น
ไม่อยากถูกเกณฑ์ทหารจึงเอามือแหย่เข้าไปในเครื่องจักรจนถูกตัดขาด

บุคคลที่มีหน้าที่จ่ายเงินทดแทน
(๑) นายจ้าง ต้องจ่ายเงินทดแทนให้ลูกจ้างตามประเภทของอันตรายจากการทำงานให้แก่ลูกจ้าง
โดยลูกจ้างต้องยื่นคำร้องโดยไม่ชักช้า เรียกเงินทดแทนจากนายจ้างต่อพนักงานเงินทดแทนแห่งท้องที่ที่
นายจ้างมีสำนักงาน หรือหน่วยงานตั้งอยู่ตามแบบที่อธิบดีกำหนด
(๒) กองทุนเงินทดแทน ในเขตที่มีการประกาศของกองทุนเงินทดแทน ให้ลูกจ้างหรือผู้มีสิทธิ
ยื่นคำร้องเรียกเงินทดแทนจากสำนักงานกองทุนเงินทดแทนตามที่สำนักงานกองทุนเงินทดแทนกำหนดภายใน
๙๐ วัน นับแต่วันที่ลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย หรือนับแต่วันที่ผู้มีสิทธิทราบว่าลูกจ้างถึงแก่ความตาย
แล้วแต่กรณี

๙. สิทธิของนายจ้างในการเลิกจ้าง
- นายจ้างมีสิทธิเลิกจ้าง ด้วยเหตุดังต่อไปนี้
(๑) กรณีสัญญาจ้างแรงงานมีกำหนดเวลาแน่นอน เช่น ตกลงกัน ๓ ปี เมื่อครบกำหนดสัญญา
จ้างแรงงานก็สิ้นสุดลง นายจ้างมีสิทธิเลิกจ้างได้ เว้นแต่ว่าเมื่อถึงกำหนดลูกจ้างยังคงทำงานอยู่ต่อไปอีก
และนายจ้างรู้ก็ไม่ว่าอะไร ก็ถือว่าทั้งคู่ได้ทำสัญญาจ้างกันใหม่โดยมีข้อตกลงเหมือนเดิม

(๒) กรณีลูกจ้างทำความผิด กรณีนี้นายจ้างมีสิทธิเลิกจ้างได้เต็มที่ โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย คือ
- ทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง
- จงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย
- ฝ่าฝืนข้อบังคับหรือระเบียบเกี่ยวกับการทำงาน หรือคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของ
นายจ้าง และนายจ้างได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว เว้นแต่เป็นกรณีร้ายแรงนายจ้างไม่จำต้องตักเตือน
- ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลา ๓ วันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควร
- ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้นายจ้างได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง
- ได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดแล้วว่าให้จำคุก

(๓) สัญญาจ้างแรงงานที่ไม่มีกำหนดระยะเวลาการจ้างไว้ การเลิกจ้างต้องมีการบอกกล่าว
ล่วงหน้า ถ้าสัญญาจ้างแรงงานมิได้กำหนดกันไว้ว่าจะจ้างกันนานเท่าไร นายจ้างจะเลิกจ้างด้วยการ
บอกกล่าวล่วงหน้า ในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวใดคราวหนึ่ง เพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญา
เมื่อถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไปข้างหน้าก็อาจทำได้ หรือหมายหถึงบอกกล่าวล่วงหน้าอย่างน้อยหนึ่ง
ช่วงการจ่ายค่าจ้างหรือสินจ้าง แต่ไม่จำเป็นที่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าเกินกว่า ๓ เดือน หรือถ้านายจ้างจะ
เลิกจ้างทันทีก็ได้ โดยจ่ายค่าจ้างแก่ลูกจ้างเสียให้ครบจำนวนที่จะต้องจ่ายจนถึงเวลาเลิกสัญญาตามกำหนดที่
จะต้องบอกกล่าวนั้น

(๔) กรณีนายจ้างและลูกจ้างตกลงกันเลิกสัญญากันเมื่อใดก็ได้
(๕) การเลิกจ้างในกรณีเป็นความผิดของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เมื่อคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งกระทำผิดกรณีใด
กรณีหนึ่งดังต่อไปนี้ คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้

๑) การทำงานของลูกจ้างตกเป็นพ้นวิสัยโดยลูกจ้าง
๒) ลูกจ้างไร้ฝีมือ
๓) นายจ้างโอนสิทธิหรือลูกจ้างโอนหน้าที่ให้บุคคลภายนอกโดยคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง
ไม่ยินยอม
๔) ลูกจ้างกระทำความผิดอันเข้าลักษณะร้ายแรงดังต่อไปนี้คือ
- จงใจขัดคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายหรือละเลยไม่นำพาต่อคำสั่ง เช่นว่า
นั้นเป็นอาจิณ
- ละทิ้งการงานไปเสีย
- กระทำผิดอย่างร้ายแรง
- ทำประการอื่นอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและ
สุจริต

๑๐. สิทธิของลูกจ้างกรณีถูกเลิกจ้าง
- ในกรณีที่ลูกจ้างกระทำผิดดังต่อไปนี้เมื่อถูกเลิกจ้าง ลูกจ้างไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชย คือ

(๑) ทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง
(๒) จงใจทำให้นายจ้างเสียหาย เช่น นัดหยุดงานโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
(๓) ฝ่าฝืนข้อบังคับ หรือระเบียบเกี่ยวกับการทำงาน หรือคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของ
นายจ้าง และนายจ้างได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว เว้นแต่กรณีร้ายแรงนายจ้างไม่จำต้องตักเตือน
(๔) ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลา ๓ วันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควร
(๕) ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้นายจ้างได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง
(๖) ได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก
หากลูกจ้างได้กระทำผิดตามข้อ (๑) - (๖) ลูกจ้างจะไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชย แต่หากไม่
เข้ากรณีตามข้อ (๑) - (๖) แม้นจะเป็นความผิดของลูกจ้างก็มีสิทธิได้รับค่าชดเชยอยู่

- กรณีลูกจ้างไม่มีความผิด ลูกจ้างมีสิทธิ
(๑) เรียกค่าเสียหาย ถ้าสัญญาจ้างแรงงานยังไม่สิ้นสุดลง ลูกจ้างมีสิทธิเรียกจากนายจ้างได้
(๒) เรียกค่าบอกกล่าวล่วงหน้า เฉพาะกรณีสัญญาจ้างแรงงานมิได้กำหนดระยะเวลา
สิ้นสุดลงไว้ นายจ้างต้องจ่ายค่าบอกกล่าวล่วงหน้า ถ้าต้องการให้ลูกจ้างออกจากงานทันที
(๓) เรียกค่าชดเชย อัตราค่าชดเชยที่นายจ้างต้องจ่ายเมื่อเลิกจ้างนั้นถือหลักว่า ลูกจ้างที่
ทำงานกับนายจ้างเป็นเวลานานกว่าจะได้รับค่าชดเชยมากกว่า ลูกจ้างที่จะมีสิทธิได้รับค่าชดเชยเมื่อถูกเลิก
จ้างจะต้องมีอายุการทำงานครบ ๑๒๐ วันโดยนับวันหยุดวันลา และวันที่นายจ้างสั่งให้หยุดเพื่อประโยชน์
ของนายจ้าง อัตราในการจ่าย
๓.๑ ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบ ๑๒๐ วัน แต่ไม่ครบ ๑ ปี โดยรวมวันหยุด
วันลา และวันที่นายจ้างสั่งให้หยุดงานเพื่อประโยชน์ของนายจ้าง ลูกจ้างมีสิทธิได้ค่าชดเชยตามค่าจ้างอัตรา
สุดท้าย ๓๐ วัน
๓.๒ ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบ ๑ ปี แต่ไม่ครบ ๓ ปี โดยรวมวันหยุดเช่นเดียว
กับข้อ ๓.๑ ลูกจ้างมีสิทธิได้ค่าชดเชยตามค่าจ้างอัตราสุดท้าย ๙๐ วัน
๓.๓ ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบ ๓ ปีขึ้นไป โดยรวมวันหยุดเช่นเดียวกับข้อ ๓.๑
ลูกจ้างมีสิทธิได้ค่าชดเชยตามค่าจ้างอัตราสุดท้าย ๑๘๐ วัน

- ลูกจ้างที่ไม่มีสิทธิที่จะได้ค่าชดเชย คือ ที่นายจ้างจ้างเพื่อทำงานอันมีลักษณะเป็นครั้งคราว
เป็นการจร เป็นไปตามฤดูกาลหรืองานตามโครงการ ซึ่งนายจ้างและลูกจ้างได้ทำสัญญาจ้างกันเป็นหนังสือ
โดยมีกำหนดวันเริ่มต้นและสิ้นสุดของการจ้างไว้ และให้หมายความรวมถึงกรณีที่สัญญาจ้างดังกล่าวสิ้นสุด
ลงแล้วแต่งานยังไม่แล้วเสร็จ หากนายจ้างและลูกจ้างจะตกลงต่อสัญญาจ้างกันอีก ระยะเวลาการจ้างทั้งสิ้น
รวมแล้วจะต้องไม่เกินระยะเวลาการจ้างตามที่ระบุไว้ในสัญญาจ้างฉบับแรก
(๔) สิทธิที่จะกลับเข้าทำงานตามเดิม โดยได้รับค่าจ้างเท่าเดิม

๑๑. การคุ้มครองการใช้แรงงานหญิง
- นายจ้างจะให้ลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงทำงานอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้ไม่ได้
(๑) งานทำความสะอาดเครื่องจักรหรือเครื่องยนต์ขณะเครื่องจักรหรือเครื่องยนต์กำลัง
ทำงาน
(๒) งานที่ต้องทำบนนั่งร้านที่สูงกว่าพื้นดิน ตั้งแต่ ๑๐ เมตร ขึ้นไป
(๓) งานใช้เลื่อยวงเดือน
(๔) งานผลิตหรือขนส่งวัตถุระเบิด หรือวัตถุไวไฟ
(๕) งานเหมืองแร่ที่ต้องทำใต้ดิน
(๖) งานอื่นตามที่กระทรวงมหาดไทยจะได้กำหนด
- นายจ้างจะให้ลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงทำงาน ยก แบก หาบ หาม ทูน ลาก หรือเข็นของหนักเกิน
อัตราน้ำหนักที่กำหนด ดังต่อไปนี้ไม่ได้
๑) ๓๐ กิโลกรัม สำหรับการทำงานในที่ราบ
๒) ๒๕ กิโลกรัม สำหรับการทำงานที่ต้องขึ้นบันไดหรือที่สูง
๓) ๖๐๐ กิโลกรัม สำหรับการลากหรือเข็นของที่ต้องบรรทุกล้อเลื่อนที่ใช้ราง
๔) ๓๐๐ กิโลกรัม สำหรับการลากหรือเข็นของที่ต้องบรรทุกล้อเลื่อนที่ไม่ใช้ราง
- นายจ้างไม่อาจจะจ้างหญิงโสดซึ่งมีอายุต่ำกว่า ๑๘ ปี เป็นลูกจ้างทำงานในสโมสรราตรี
สถานที่เต้นรำ สถานฝึกสอนเต้นรำ สถานขายและเสพสุรา สถานอาบนวด โรงแรมหรือสถานที่อื่นตามที่
กระทรวงมหาดไทยจะได้กำหนด
- ห้ามนายจ้างให้ลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงทำงานในระหว่างเวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา ถึง ๖.๐๐ นาฬิกา
เว้นแต่งานที่มีลักษณะต้องทำติดต่อกันไปหรืองานกะ หรืองานที่มีลักษณะและสภาพที่ต้องทำในระหว่าง
เวลาดังกล่าว

๑๒. การคุ้มครองการใช้แรงงานเด็ก
- นายจ้างไม่อาจรับเด็กซึ่งมีอายุต่ำกว่า ๑๓ ปี เข้าทำงานโดยเด็ดขาด
- งานบางประเภทที่นายจ้างจะรับเด็กซึ่งมีอายุตั้งแต่ ๑๓ ปี แต่ยังไม่ถึง ๑๕ ปี เป็นลูกจ้างได้ คือ
(๑) งานรับใช้ในสถานประกอบการพาณิชยกรรม ที่ไม่มีการจำหน่ายหรือการเสพสุรา
(๒) งานส่งหนังสือพิมพ์
(๓) งานรับใช้เกี่ยวกับกีฬา
(๔) งานเก็บจำหน่าย รับส่ง ดอกไม้ ผลไม้และเครื่องชำ เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ เช่น
น้ำอัดลม
(๕) งานยก แบก หาม ลาก ของที่มีน้ำหนักไม่เกิน ๑๐ กิโลกรัม โดยงานนั้นไม่เป็น
อันตรายต่อสุขภาพและความเจริญเติบโตของเด็ก
- ถ้าจะทำนอกเหนือจากนี้ต้องขออนุญาตจากกรมแรงงานหรือนายอำเภอท้องที่นอกเขตกรุงเทพฯ
- กฎหมายให้ความคุ้มครองเกี่ยวกับกำหนดเวลาทำงานของเด็กอายุตั้งแต่ ๑๓ ปีบริบูรณ์ แต่ยัง
ไม่ถึง ๑๘ ปีไว้ ๔ กรณีคือ
(๑) ให้นายจ้างกำหนดเวลาทำงานปกติประจำวันได้ไม่เกินวันละ ๘ ชั่วโมง
(๒) ห้ามมิให้นายจ้างให้ลูกจ้างเด็กทำงานในวันหยุด
(๓) ห้ามมิให้นายจ้างให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลา
(๔) ห้ามมิให้นายจ้างให้ลูกจ้างทำงานในระหว่างเวลา ๒๒.๐๐ - ๐๖.๐๐ น. เว้นแต่จะเป็น
งานแสดงภาพยนตร์ ละคร หรือการแสดงอย่างอื่นที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน แต่ต้องจัดให้ลูกจ้างมีเวลาพักผ่อน
ตามสมควร

- นายจ้างจะให้ลูกจ้างเด็กอายุตั้งแต่ ๑๓ ปี แต่ยังไม่ถึง ๑๘ ปีบริบูรณ์ ทำงานในลักษณะต่อไปนี้
ไม่ได้
(๑) งานหลอม เป่า หล่อ รีดโลหะหรือวัสดุอื่น
(๒) งานปั๊มโลหะ หรือวัสดุอื่น
(๓) งานเกี่ยวกับความร้อน เย็น สั่นสะเทือน เสียง และแสงที่มีระดับผิดกว่าปกติอันอาจเป็น
อันตราย
(๔) งานเกี่ยวกับสารเคมีที่เป็นอันตราย
(๕) งานเกี่ยวกับจุลชีวันที่เป็นพิษ ซึ่งอาจจะเป็นเชื้อไวรัส แบคทีเรีย รา และเชื้ออื่น ๆ
(๖) งานเกี่ยวกับวัตถุที่มีพิษ วัตถุระเบิด วัตถุไวไฟ เว้นแต่งานในสถานที่บริการน้ำมันเชื้อเพลิง
(๗) งานขับหรืออาศัยรถยกหรือปั้นจั่น
(๘) งานใช้เลื่อยเดินด้วยพลังไฟฟ้าหรือเครื่องยนต์
(๙) งานที่ทำใต้ดิน ใต้น้ำ ในถ้ำ อุโมงค์ หรือปล่องในภูเขา
(๑๐) งานเกี่ยวกับกัมมันตภาพรังสี

- นายจ้างจะให้ลูกจ้างอายุตั้งแต่ ๑๓ ปีบริบูรณ์ แต่ยังไม่ถึง ๑๘ ปีบริบูรณ์ ทำงานในสถานที่
ดังต่อไปนี้ไม่ได้

(๑) โรงฆ่าสัตว์
(๒) สถานที่เล่นการพนัน
(๓) สถานที่เต้นรำ รำวงหรือร้องเพลง ประเภทที่มีและประเภทที่ไม่มีหญิงพาร์ทเนอร์
บริการ
(๔) สถานที่มีอาหาร สุรา น้ำชาหรือเครื่องดื่มอย่างอื่นจำหน่ายบริการโดยมีหญิงบำเรอ
สำหรับปรนนิบัติลูกค้าหรือโดยมีที่สำหรับพักผ่อนหลับนอน หรือมีบริการนวดให้ลูกค้า
(๕) สถานอาบน้ำ นวด หรืออบตัว ซึ่งมีหญิงบริการให้ลูกค้า

- การคุ้มครองเกี่ยวกับค่าจ้าง
กรณีที่นายจ้าง ลูกจ้าง บิดา มารดา หรือผู้ปกครองของลูกจ้างเด็ก จ่ายหรือรับเงินหรือประโยชน์
ตอบแทนใด ๆ เป็นการล่วงหน้าก่อนมีการจ้างหรือขณะแรกจ้าง หรือก่อนถึงงวดการจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างเด็ก
ในแต่ละคราว กฎหมายมิให้ถือว่าเป็นการจ่ายหรือรับค่าจ้างสำหรับลูกจ้างเด็กนั้น นายจ้างจึงไม่สามารถนำเงิน
หรือผลประโยชน์ตอบแทนดังกล่าวมาหักค่าจ้างซึ่งต้องจ่ายให้แก่ลูกจ้างเด็กตามกำหนด

- คุ้มครองเกี่ยวกับการพัฒนาแรงงานเด็ก ให้สิทธิแก่ลูกจ้างเด็กในการลาเพื่อเข้าฝึกอบรมตามที่
อธิบดีกรมแรงงานจัดขึ้น ซึ่งเมื่อลูกจ้างเด็กใช้สิทธิในการลาดังกล่าวแล้ว นายจ้างจะต้องอนุญาตให้ลาโดยจ่าย
ค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างนั้นเท่ากับค่าจ้างในวันทำงานตามปกติด้วย



กฎหมายแรงงานที่ต้องรู้

 กฎหมายแรงงานที่ต้องรู้




  ในช่วงภาวะปัญหาเศรษฐกิจถดถอยแบบนี้ ทำให้นายจ้างหลายต่อหลายราย  มีปัญหาเรื่องค่าจ้างแรงงาน มีการเลิกจ้างลูกจ้างเป็นจำนวนมาก โดยนายจ้างใช้วิธีการแตกต่างกัน เช่น บีบให้ออกจากงาน ย้ายแผนก ย้ายที่ทำงาน ลดเบี้ยเลี้ยง โอที ยัดข้อหา หรือประเมินผลงานทำงานว่าไม่มีประสิทธิภาพ
   ยุบฝ่าย หรือยุบกิจการหรือนำเทคโนโลยีมาใช้แทน ทนายคลายทุกข์จึงขอนำตัวบทกฎหมายและคำพิพากษาของศาลฎีกาที่น่าสนใจ การที่เป็นประโยชน์ต่อนายจ้างและลูกจ้าง โดยขอนำเสนอประเด็นที่น่าสนใจเป็นข้อ ๆ ดังนี้คือ
    1.ลูกจ้างซึ่งทำงานก่อสร้างหรือใช้แรงงานกับผู้รับเหมาช่วง ถึงกำหนดใช้จ่าย ผู้รับเหมาช่วงอ้างว่าผู้รับเหมาชั้นต้นไม่ยอมจ่ายค่าจ้าง กรณีนี้ลูกจ้างสามารถเรียกเงินจากผู้รับเหมาช่วง ผู้รับเหมาหลักและเจ้าของโครงการได้ ตามมาตรา 5
    2.การเลิกจ้างทำได้ 3 กรณี
       - สัญญาจ้างมีกำหนดระยะเวลา เมื่อสิ้นสุดระยะเวลา
       - ลูกจ้างกระทำความผิดตามมาตรา 119 และ ปพพ.มาตรา 583
       - การเลิกจ้างระหว่างทดลองงาน
    3.การเลิกจ้างต้องทำเป็นหนังสือเท่านั้น จะเลิกจ้างด้วยวาจาไม่ได้ มาตรา 17 และต้องบอกเหตุผลไว้ในหนังสือบอกเลิกสัญญาจ้าง
    4.การเลิกจ้างระหว่างทดลองงาน ถ้าลูกจ้างกระทำความผิด หรือหย่อนประสิทธิภาพ เลิกจ้างได้ทันที โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า แต่ถ้าลูกจ้างมิได้กระทำความผิด ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า ตามมาตรา 17 วรรค 2 และ 4
    5.การทดลองงานจะถือว่าเป็นการจ้างที่มีกำหนดระยะเวลา จะต้องระบุให้ชัดเจนว่า ทดลองงานจนถึงวันที่เท่าใด ถ้าระบุว่าทดลองงานไม่เกิน 120 วัน ถือว่าเป็นการจ้างโดยไม่มีกำหนดระยะเวลา ดังนั้นเมื่อจะเลิกจ้างต้องบอกกล่าวล่วงหน้า ยกเลิกกระทำความผิด
    6.การร้องขอความเป็นธรรมต่อเจ้าพนักงานตรวจแรงงาน ให้ลูกจ้างยื่นคำร้องในท้องที่ที่ลูกจ้างทำงานอยู่หรือที่ลูกจ้างมีภูมิลำเนาอยู่ ตามมาตรา 123
       พนักงานตรวจแรงงานต้องมีคำสั่งภายใน 60 วัน นับแต่วันที่รับคำร้อง และถ้าลูกจ้างมีสิทธิได้รับเงินค่าชดเชย ต้องมีคำสั่งให้นายจ้างจ่ายเงินภายใน 15 วัน นับแต่วันที่นายจ้างทราบหรือถือว่าได้ทราบคำสั่ง มาตรา 124
    7.นายจ้างหรือลูกจ้างไม่พอใจคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานให้ฟ้องศาลแรงงานได้ภายใน 30 วัน นับแต่ทราบคำสั่ง ถ้าไม่ฟ้องศาลภายในกำหนดให้คำสั่งนั้นเป็นที่สุด ในกรณีนายจ้างฟ้องศาลต้องนำเงินค่าจ้างหรือค่าชดเชยไปวางต่อศาลก่อนจึงจะฟ้องคดีได้ มาตรา 125
    8.ค่าชดเชยลูกจ้างจะเรียกได้มากหรือน้อยเป็นไปตามมาตรา 118 แต่ถ้าลูกจ้างทำผิดนายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามมาตรา 119





ที่มา : รายการทนายคลายทุกข์  สถานีโทรทัศน์ไททีวี 2  http://www.decha.com

ค่าชดเชย ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน

 ค่าชดเชย ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน 




ปัญหาแรงงาน เป็นปัญหาที่เรื้อรังมานานในประเทศไทยเรา ปัจจุบันนายจ้างได้นำเอาสิ่งประดิษฐ์หรือเครื่องจักรกลมาใช้แทนแรงงานคนมากขึ้น อันมีผลกระทบต่อการจ้างแรงงาน กฎหมายจึงได้มีมาตรการควบคุมและให้ความเป็นธรรมต่อลูกจ้างซึ่งอาจถูกเลิกจ้างวันใดวันหนึ่งก็ได้ ในเบื้องต้นเรามาทำความเข้าใจกับคำว่า"ค่าชดเชย" และ"ค่าชดเชยพิเศษ"กันเสียก่อนนะครับ
"ค่าชดเชย" คือ เงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้าง นอกเหนือจากเงินประเภทอื่นซึ่งนายจ้างตกลงจ่ายให้แก่ลูกจ้าง
"ค่าชดเชยพิเศษ" คือ เงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเมื่อสัญญาจ้างสิ้นสุดลงเพราะมีเหตุกรณีพิเศษที่กำหนดในกฎหมายคุ้มครองแรงงาน
ดังนั้น หากนายจ้างเลิกจ้างโดยลูกจ้างไม่มีความผิด ลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าชดเชย ดังนี้


1.ทำงานติดต่อกันครบ 120 วัน แต่ไม่ครบ 1 ปี ได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 30 วัน
2.ทำงานติดต่อกันครบ 1 ปี แต่ไม่ครบ 3 ปี ได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 90 วัน
3.ทำงานติดต่อกันครบ 3 ปี แต่ไม่ครบ 6 ปี ได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 180 วัน
4.ทำงานติดต่อกันครบ 6 ปี แต่ไม่ครบ 10 ปี ได้รับค่าชดเชยเท่ากับอัตราค่าจ้างสุดท้าย 240 วัน
5.ทำงานติดต่อกันครบ 10 ปีขึ้นไป ได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 300 วัน





แต่ลูกจ้างอย่าเพิ่งดีใจเกินไป มิใช่ว่าเมื่อนายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างแล้วจะต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างเสมอไปนะครับ มีข้อยกเว้นที่นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้างในเหตุใดเหตุหนึ่ง คือ
1. ลูกจ้างสมัครใจลาออกจากงานเอง นั่นเท่ากับลูกจ้างเสียสิทธิที่จะได้รับค่าชดเชยไปเลย
2. ทุจริตต่อหน้าที่หรือเจตนาทำความผิดอาญาต่อนายจ้าง เช่นนี้ต้องไล่ออกและจับเข้าคุก
3. จงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย
4. ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้นายจ้างได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง ถ้าความประมาทของลูกจ้างนั้นทำให้นายจ้างเสียหายเล็กน้อยไม่ร้ายแรง ก็ไม่เข้าข้อยกเว้นนี้
5. ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน หรือระเบียบ หรือคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรม และนายจ้างได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว เว้นแต่กรณีที่ร้ายแรงนายจ้างไม่จำเป็นต้องตักเตือน หนังสือเตือนนั้นให้มีผลบังคับได้ไม่เกิน 1 ปี นับแต่วันที่ลูกจ้างได้ทำผิด มิใช่นับแต่วันที่ลูกจ้างทราบหนังสือเตือนนะครับ
6. ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลา 3 วันทำงานติดต่อกัน ไม่ว่าจะมีวันหยุดคั่นหรือไม่ก็ตามโดยไม่มีเหตุอันสมควร
7. ได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่เป็นความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ ในกรณีประมาทหรือลหุโทษหากนายจ้างเลิกจ้าง นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยด้วย
8. การจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอน และเลิกจ้างตามกำหนดระยะเวลานั้น สำหรับงานที่ต้องแล้วเสร็จภายในเวลาไม่เกิน 2 ปี โดยนายจ้างและลูกจ้างได้ทำสัญญาเป็นหนังสือไว้ตั้งแต่เมื่อเริ่มจ้าง และเป็นการจ้างงานใดงานหนึ่ง คือ การจ้างงานในโครงการเฉพาะที่มิใช่งานปกติของธุรกิจหรือการค้าของนายจ้าง ซึ่งต้องมีระยะเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดของงานที่แน่นอน หรืองานอันมีลักษณะเป็นครั้งคราวที่มีกำหนดการสิ้นสุด หรือความสำเร็จของงาน หรืองานที่เป็นไปตามฤดูกาล และได้จ้างในช่วงเวลาของฤดูกาลนั้น
นายจ้างบางรายคิดว่าตนเองฉลาดกว่ากฎหมาย จึงได้พยายามหลีกเลี่ยงการจ่ายค่าชดเชย โดยใช้วิธีการจ้างลูกจ้างเป็นช่วงๆ ซึ่งในเรื่องการนับเวลาการทำงานเพื่อจ่ายค่าชดเชยนั้น การทำงานติดต่อกันหรือไม่ จะมีผลต่อจำนวนเงินค่าชดเชยที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับ กฎหมายจึงได้แก้ลำนายจ้างเจ้าเล่ห์ที่คิดจะเอาเปรียบไว้ว่า การที่ลูกจ้างไม่ได้ทำงานติดต่อกันโดยนายจ้างมีเจตนาที่จะไม่ให้ลูกจ้างนั้นมีสิทธิตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ไม่ว่าจะให้ลูกจ้างทำงานในหน้าที่ใด การจ้างแต่ละช่วงห่างกันเท่าใดก็ตาม กฎหมายให้นับอายุการทำงานทุกช่วงเข้าด้วยกัน… ฯลฯ ทำเอานายจ้างเจ้าเล่ห์ถึงกับยิ้มไม่ได้ หัวร่อไม่ออกไปเลย
นอกเหนือจากค่าชดเชยปกติที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับเมื่อถูกเลิกจ้างแล้ว กฎหมายคุ้มครองแรงงานยังได้กำหนดให้มีค่าชดเชยพิเศษไว้อีกด้วย ในกรณีต่อไปนี้
1. ถ้านายจ้างย้ายสถานประกอบกิจการไปตั้งท้องที่อื่นซึ่งมีผลกระทบต่อการดำรงชีพตามปกติของลูกจ้างหรือครอบครัว นายจ้างต้องแจ้งให้ลูกจ้างทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วันก่อนย้าย ถ้าลูกจ้างไม่ประสงค์จะไปทำงานด้วย ลูกจ้างมีสิทธิบอกเลิกสัญญาจ้างได้โดยได้รับค่าชดเชยพิเศษไม่น้อยกว่า 50 % ของอัตราค่าชดเชยปกติ ถ้านายจ้างไม่แจ้งให้ลูกจ้างทราบการย้ายสถานประกอบกิจการล่วงหน้า นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยพิเศษแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 30 วัน
2. ถ้านายจ้างจะเลิกจ้างลูกจ้างเพราะเหตุปรับปรุงหน่วยงาน กระบวนการผลิต การจำหน่าย หรือการบริการอันเนื่องมาจากการนำเครื่องจักรมาใช้หรือเปลี่ยนแปลงเครื่องจักรหรือเทคโนโลยี ซึ่งเป็นเหตุให้ต้องลดจำนวนลูกจ้างลง ให้นายจ้างแจ้งวันที่จะเลิกจ้าง เหตุผลของการเลิกจ้าง และรายชื่อลูกจ้างต่อลูกจ้างและพนักงานตรวจแรงงานทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 60 วันก่อนวันที่จะเลิกจ้าง ถ้านายจ้างไม่แจ้งแก่ลูกจ้างที่จะเลิกจ้างทราบล่วงหน้า หรือแจ้งล่วงหน้าน้อยกว่า 60 วัน นอกจากต้องจ่าค่าชดเชยปกติแล้ว นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยพิเศษแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 60 วัน
และในกรณีที่นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างเพราะเหตุปรับปรุงหน่วยงานนี้นะครับ ถ้าลูกจ้างนั้นทำงานติดต่อกันเกิน 6 ปีขึ้นไป นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยพิเศษเพิ่มขึ้นจากค่าชดเชยปกติ ไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 15 วันต่อการทำงานครบ 1 ปี แต่ค่าชดเชยพิเศษนี้รวมแล้วต้องไม่เกินค่าจ้างอัตราสุดท้าย 360 วัน
หวังว่าผู้อ่านคงจะได้เข้าใจในเรื่องของ "ค่าชดเชย" มากขึ้นแล้วนะครับ และกฎหมายคุ้มครองแรงงานนี้ เป็นกฎหมายที่มีบทลงโทษทางอาญานะครับ หากนายจ้างฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม ย่อมมีความผิดจะต้องถูกปรับ หรือจำคุก หรือทั้งจำทั้งปรับเชียวนะครับ
ปัญหาระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างสามารถแก้ไขได้ด้วยสันติวิธี หากแต่ละฝ่ายสำนึกได้ว่าต่างฝ่ายต่างต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน อย่าได้ลำพองว่าตนเองสำคัญกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง ฝ่ายลูกจ้างควรจะสำนึกว่า หากไม่มีนายจ้างนำเงินจำนวนมากมาเสี่ยงลงทุนสร้างงาน ลูกจ้างต้องตกงาน ไม่มีรายได้ ครอบครัวเดือดร้อนแน่นอน ส่วนฝ่ายนายจ้างก็ต้องสำนึกด้วยเช่นกันว่า หากไม่มีลูกจ้างมาเป็นแรงงาน กิจการคงจะไม่สำเร็จก้าวหน้า อาจไม่ร่ำรวยได้จนทุกวันนี้ ฉะนั้น นายจ้างก็จงอย่าเอารัดเอาเปรียบลูกจ้างเกินไป และลูกจ้างเองก็อย่าเรียกร้องอะไรๆ ให้เกินสมควรนัก แล้วเราก็จะอยู่กันได้อย่างสงบสุข… จริงไหมครับ






ที่มา ::  http://www.geocities.com/ruammitra/index.html
 

วันศุกร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2557

สดชื่นรับซัมเมอร์ด้วย”วิตามินซี”







       หน้าร้อนแบบนี้ขอชวนคุณมาดับร้อนด้วยผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงซึ่งส่วนใหญ่มีรสเปรี้ยวจี๊ดได้ใจ แถมยังมีคุณประโยชน์มากมายทั้งป้องกันหวัด คลายเครียด และยังทำให้ผิวสวยใสด้วย...เริ่ดขนาดนี้ไม่กินไม่ได้แล้ว

    สตรอเบอร์รี่
      ผลไม้สีแดงรสเปรี้ยวอมหวานชนิดนี้จะกินสดๆ หรือกินคู่กับไอศกรีมหรือขนมหวานอะไรก็เข้ากั๊น-เข้ากัน หากกินสตรอวเบอร์รี่ 100 กรัม คุณจะได้รับวิตามินซีถึง 66 มิลลิกรัม มีการศึกษาพบว่าเมื่อเทียบน้ำหนักที่เท่ากันพลังในการต้านอนุมูลอิสระของสตรอวเบอร์รี่สูงกว่าส้มถึงหนึ่งเท่าครึ่ง และสูงกว่าและมะเขือเทศถึงเจ็ดเท่า...ว้าว!

    มะละกอสุก
      เนื้อสีส้มอมแดงที่มีรสหวาน 100 กรัมก็มีวิตามินซีถึง70 มิลลิกรัมแล้ว แต่เวลาปอกเปลือกไม่ควรปอกหนานะคะนักวิจัยออสเตรียพบว่า เมื่อมะละกอสุกงอม คลอโรฟิลล์ในมะละกอจะเปลี่ยนเป็นสารไม่มีสีที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระอย่างเยี่ยมยอดสะสมอยู่บริเวณเปลือกและใต้ผิวเปลือก

    กีวี
      หน้าตาภายนอกอาจไม่ค่อยน่ากินเท่าไหร่ แต่แค่เอามีดผ่ากลางลงไปก็จะเจอกับเนื้อสีเขียวสดใส ที่รสชาตินั้นไม่เป็นสองรองใครแน่นอน และยังมีวิตามินซีมากกว่าส้มถึง 2 เท่า (กีวี 100 กรัมให้วิตามินซี 100 มิลลิกรัม) กากใยก็มากกว่าแอปเปิ้ล นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยโพแทสเซียมด้วย ที่สำคัญตอนนี้กีวีก็ไม่ใช่ผลไม้หายาก หาซื้อได้ตามห้างสรรพสินค้าทั่วไปแล้วนะ

    ฝรั่ง
      แม้จะไม่ได้เปรี้ยวจี๊ดจ๊าด แต่ฝรั่งกลับเป็นผลไม้ที่ให้วิตามินซีสูงมาก แค่ 100 กรัมก็มีวิตามินซีถึง 187 มิลลิกรัม (สูงกว่าส้มประมาณ 4 เท่า) อ้อ! อย่าปอกเปลือกกินนะคะ เพราะแหล่งวิตามินซีก็อยู่ที่เปลือกนี่แหละ

    เสาวรส
      อากาศร้อนๆ แบบนี้ แค่ผ่าครึ่งเสาวรสสุกๆ โรยเกลือป่นนิดนึงแล้วตักกินเนื้อ รสชาติเปรี้ยวอมหวานแสนอร่อยจะช่วยให้คุณรู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันที แถมด้วยปริมาณวิตามินซี 39.1 มิลลิกรัม ต่อเนื้อ 100 กรัม และยังช่วยลดปริมาณไขมันในเส้นเลือดได้ด้วย

        ในแต่ละวันร่างกายของเราต้องการวิตามินซีประมาณ 60 มิลลิกรัม หากเป็นผู้ที่สูบบุหรี่ประจำร่างกายจะต้องการวิตามินซีเพิ่มขึ้นอีก 40 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นแค่กินผลไม้ วิตามินเสริมก็ไม่จำเป็นแล้วล่ะ

      ข้อควรระวังก็คือ วิตามินซีจะสลายได้ง่ายเมื่อสัมผัสกับอากาศ แสง โลหะ น้ำ หรือความร้อน ดังนั้น เพื่อให้ได้วิตามินครบถ้วนจึงควรให้ความสำคัญกับทุกขั้นตอนในการเตรียมและปรุงอาหาร เช่น ล้างให้เรียบร้อยก่อนหั่นและอย่าแช่ผลไม้ทิ้งไว้ในน้ำนานๆ หากจะคั้นน้ำก็ควรคั้นแล้วรับประทานทันทีไม่ตั้งทิ้งหรือแช่ตู้เย็นเก็บไว้ แต่ถ้าจะเก็บจริงๆ ก็อย่าให้เกิน 2 วันก็แล้วกันนะ




ที่มา....Lisa 




มัดใจเพื่อน ง่ายนิดเดียว









       จะมีสักกี่คนกันน้า...ที่พกพาความมั่นใจไปไหนไปกันแบบ 100% ได้ทุกที่ แม้ในสถานการณ์ที่คุณจะต้องเริ่มต้นทำงานในสถานที่ใหม่ เชื่อว่า...กว่า 90% เมื่อต้องไปอยู่ท่ามกลางคนที่ยังไม่คุ้นเคย คงประหม่าอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว คุณคิดว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหน? เพื่อปรับตัว+ใจให้เข้ากับคนในที่ทำงานใหม่ แค่คิดเล่นๆ ก็กังวลใจขึ้นมาแล้วใช่ไหมคะ? ไม่เอาน้า...จำไว้นะค่ะว่าไม่มีอะไรยากเกินไปสำหรับเรา จริงๆ แล้วคนเรามีเสน่ห์ในการเริ่มต้นผูกมิตรด้วยกันทั้งนั้น เพียงแต่คุณพร้อมที่จะนำมาใช้หรือเปล่าเท่านั้นเอง


      



มาดูเคล็ดลับง่ายๆ ที่การันตีว่ามัดใจเพื่อนใหม่ได้ไม่ยาก...กันเลยค่ะ


       1. ประตูบานแรกเปิดสู่การผูกมิตรในที่ทำงานใหม่ อันดับแรกคือ รอยยิ้มที่มาพร้อมกับฟันขาวสดใส(สร้างความประทับใจตั้งแต่แรกเห็น) เพราะรอยยิ้มจะทำให้ช่องว่างของความเป็นคนไม่คุ้นเคยกันมาก่อนจะแคบลง รอยยิ้มจะทำให้สถานการณ์ที่คุณต้องวางตัวดูไม่ตึงเกินไป เพราะไม่ใช่แค่คุณที่รู้สึกว่าคนที่อยู่มาก่อน คือ คนใหม่สำหรับคุณคนอื่นๆ เขาก็รู้สึกว่าคุณคือคนใหม่ที่ก้าวเข้ามาเช่นกัน รวมถึงมารยาทไทยเราที่เพิ่มเสน่ห์ให้กับตัวเองคือการไหว้ แสดงความอ่อนน้อมถ่อมตน



       2.ยิ้มต้อนรับและยินดีที่จะรู้จักกับคนทุกคน แต่ไม่ต้องถึงกับแสดงอาการดูเป็นกันเองเหมือนสนิทกันมาแต่ไหนแต่ไรทั้งที่เพิ่งเจอกัน โดยเฉพาะถ้าสิ่งที่แสดงออกเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับบุคลิกจริงของคุณจะทำให้คุณดูไม่ธรรมชาติ กลายเป็นคนอื่นมองแล้วไม่จริงใจฉะนั้นยิ้มแค่พองาม เว้นแต่ว่าคุณก็ต้องมั่นใจว่าชีวิตปกติของคุณก็ร่าเริง 365 วันอยู่แล้ว

      3.การพูดจา คุณไม่จำเป็นต้องพูดจาคะขา ครับ หรือครับผม ทุกคำทุกประโยคเอาแค่เรียกว่าพูดจาน่าฟัง น้ำเสียงไม่เย่อหยิ่ง การพูดจาน่าฟังทำให้คนใหม่ที่ก้าวเข้ามาทำความรู้จักไม่รู้สึกแย่ด้วยเวลาพูดคุย คำที่น่าฟังและเติมเสน่ห์ให้กับตัวเองอีกสองคำคือ ขอบคุณ และขอโทษ อย่าลืมนะคะ

      4.พูดจาด้วยแบบขอไปทีเมื่อมีคนเข้ามาคุยด้วย หากเป็นแบบนี้เท่ากับผลักไสมิตรใหม่ที่กำลังเข้ามาทำความรู้จัก เพราะเราเองก็คงไม่อยากคุยกับคนพูดจาแบบขวานผ่าซาก หรือพูดแบบมะนาวไม่มีน้ำ

      5.แต่งตัวดี ให้ถูกกาละเทศะ ให้เกียรติคนและสถานที่ที่เราอยู่นะคะ คนเราหากแต่งกายให้ดูดี ดูเหมาะสม ดูไม่แปลกไปหรือมากไป ไม่ต้องถึงกับเนี้ยบเรียบกลีบโค้งคมเอาแค่สะอาด ผมเผ้าเรียบร้อย คนแต่งตัวดี ดูสะอาด ใครก็พร้อมจะทำความรู้จัก และพร้อมจะเดินมาทักทายคุณได้ไม่เคอะเขิน



      6.แต่งตัวโอเวอร์ ดูแหวกแปลกไปหรือแต่งตัวแพงด้วยแบรนด์เนม พยายามแต่งตัวให้ดูเด้งโดดเด่น โดยเฉพาะกับคนที่ร่วมงานในตำแหน่งเท่ากัน ลองนึกภาพเวลาที่เราเห็นคนที่เขาแต่งตัวไม่ธรรมดา บางครั้งเราก็ไม่กล้าที่จะเข้าไปพูดคุยด้วยจริงไหม

      7.มีน้ำใจ เมื่อก้าวเข้าไปเป็นสมาชิกใหม่ สิ่งที่จะทำให้คุณผูกมิตรได้เร็วอีกอย่างคือการแสดงถึงความมีน้ำใจยิ่งคุณมีโอกาสได้แสดงออกตั้งแต่วันแรก เช่น มีโอกาสช่วยถือของ ช่วยเปิดประตู ช่วยกดลิฟต์ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้แสดงออกให้เห็นว่านอกจากพร้อมจะทำงานแล้ว คุณยังพร้อมจะช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานทุกเมื่อ อย่าลืมว่าน้ำใจเป็นสิ่งมีค่าที่คุณสามารถมอบให้คนรอบข้างรู้สึกดีได้ไม่มีหมด

      8.เวลาที่ต้องพูดกับใครคุณควรพูดในสิ่งที่คนอื่นอยากฟัง และเมื่อต้องเป็นผู้ฟัง คุณควรฟังผู้พูดด้วยอาการใจจดใจจ่อ และฟังตั้งแต่ต้นจนจบ แม้คุณจะเคยฟังเรื่องนั้นมาหลายครั้งแล้วก็ตาม อย่าพยายามทำตัวโดดเด่นโดยไม่แชร์ความสำคัญให้กับคนรอบข้างเลยนะคะ จะทำให้ความสัมพันธ์ตั้งแต่เริ่มต้นไปในทิศทางที่ไม่ดีนะคะ

      9.ไม่มีใครชอบเรื่องเครียดๆตลอดเวลาหรอกนะคะ คนมีเสน่ห์มักมีอารมณ์ขันในบางคราว และมีศิลปะในการเล่าเรื่อง แต่ไม่ควรตลกพร่ำเพรื่อจนตัวเองกลายเป็นตัวตลกไปละ

      10.ในการเข้ามาอยู่ร่วมหลังคาเดียวกัน หากมีเรื่องที่ต้องช่วยเหลือกัน ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงจงเป็นฝ่ายยื่นมือ หากคุณเป็นคนที่ไม่มีน้ำใจ จริงอยู่ที่คุณอาจจะมีเพื่อน...แต่ไม่ใช่มิตร

       วิธีสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานใหม่ ไม่ใช่เรื่องยากเลยใช่ไหมค่ะ คุณลองปฏิบัติดูจะพบว่า… การทำงานของคุณจะมีความสุขกับเพื่อนร่วมงานอย่างไม่คาดฝันทีเดียว นอกจากการพกตัวและหัวใจพร้อมความตั้งใจในการทำงาน และความจริงใจให้กับเพื่อนร่วมงานแบบเต็ม 100% แต่วิธีทั้งหมดที่กล่าวมานั้นไม่ได้จะใช้เฉพาะกับการสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานใหม่นะคะ สามารถใช้ได้ในทุกๆสถานการณ์ ในการสร้างความประทับใจและสร้างเสน่ห์ให้กับตัวเองคะ และสิ่งสำคัญเลยนะคะ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด อย่าลืม! ยิ้มไว้เป็นอันดับแรก เพราะรอยยิ้ม จะทำให้แจ่มใสอยู่เสมอ ไม่หวั่นไหวไปกับสถานการณ์รอบตัว และยังสะกดให้คนรอบข้าง เกิดความมั่นใจ ไว้วางใจ ปัญหาที่ยากก็จะสามารถคลี่คลายได้อย่างง่ายดายอีกด้วย ...









ที่มา ... ผู้จัดการออนไลน์ 

108 คำคม พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต


108 คำคม พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต






108 คำคมธรรมะ ธรรมะสอนคน 108คำคม ธรรมะใจในการทำงาน การปลง ปลงสังขาร ปลงจิต ธรรมะสอนใจในการทำงาน ธรรมะสอนใจ facebook ธรรมะสอนรัก ธรรมะสอนหญิง ธรรมะสอนใจเรื่องความรัก ธรรมะสอนลูก ธรรมะสอนใจความรัก ธรรมะสอนใจเรื่องเพื่อน ธรรมะทูเดย์ ธรรมะไทย ธรรมะ ธรรมะดีๆ ธรรมะให้กําลังใจ ธรรมะสวัสดี ธรรมะเตือนสติ ธรรมะผลิบาน ธรรมะพระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต ธรรมะพระมหาสมปอง  ปลงปล่อยวาง ขันติ ธรรมะช่วยคน คำคมดีๆเกี่ยวกับธรรมะ คำคมสอนใจ คำคมปล่อยวาง คำคมพระ พระท่านว่า พระสอนว่า  คำถามทางธรรม  ปัญหาทางธรรม

1. สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดของคนเรา คือ ชีวิต และเราจะเป็นเจ้าของชีวิตได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น
…เราจะไม่มีวันได้สิ่งที่คุณพอใจ… จนกว่าเราจะได้เรียนรู้ที่จะพอใจในสิ่งที่เรามี…
…อย่าปล่อยให้ชีวิตเป็นไปอย่างไร้จุดหมาย… ผู้ที่มีชีวิตอยู่แต่ไม่ยอมต่อสู้ชีวิต คือ… ศพเดินได้…
…อุปสรรคที่ใหญ่หลวงที่สุดของความสำเร็จ ก็คือ… การล้มเลิกต่อเป้าหมายต่างหาก

2. อย่าแคร์คนอื่นมากกว่าครอบครัว
อย่าตามแต่ใจตัว
จนลืมว่าครอบครัวก็สำคัญ
(พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต)

3. ในวันที่ท้อ อย่าคิดว่าไม่เหลือใคร
ส่องกระจก แล้วยิ้มเข้าไว้
ไม่เหลือใคร ก็ยังเหลือ ตัวเราเอง

4. จะมีชีวิตอยู่ กี่วัน กี่เดือน กี่ปี ไม่สำคัญ…
หากอยู่ไปแบบไร้ค่า…

แล้ววันนี้ที่เราอยู่ …
เราอยู่แบบมีค่า หรือ ไร้ค่า…
น่าคิดนะ เจริญพร…

5. คนที่คิดถึงความสำเร็จในวันข้างหน้า
ต้องเป็นคนที่กล้าเปลี่ยนแปลงตัวเองในวันนี้

6. เมื่อกาลเวลาผ่านไป…
ให้กลับมาย้อนมาดูตัวเองว่า…
เรากำลังทำอะไรอยู่…

สิ่งที่คุณกำลังกระทำอยู่ในปัจจุบัน…
จะบ่งบอกตัวตนของคุณว่าคุณเป็นใคร…อยากลงมือทำอะไรให้รีบทำ…
(แต่ต้องอยู่ในกรอบของศีลธรรม) เจริญพร

7. เราสามารถสร้างโอกาสดีๆในชีวิต…
ด้วยตัวของเราเอง….
อยู่ที่ว่าเรา จะสร้างมันขึ้นมาหรือเปล่า…
โอกาสดีๆบางครั้งเกิดขึ้นกับชีวิตเพียงครั้งเดียว…
และมันจะไม่ย้อนกลับมาอีกเลย…

หากวันนี้คุณยังไม่่มีโอกาสดีๆในชีวิต….
อย่าลืมสร้างมันขึ้นมาด้วยตัวของเราเอง…
โอกาสสร้างได้…ถ้าเราลงมือทำ…
แล้วตัวเราจะได้รับโอกาสดีๆ…
ในชีวิตอีกมากมาย เจริญพร…

8. คนเก่ง..ใช้เวลา 2-3 ปีก็สอนให้เก่งได้ ..
แต่.. คนดีต้องใช้เวลา ‘ชั่วชีวิต’ สอนกัน
คนเก่งมักจะขาดความจงรักภักดี ไม่มีความกตัญญู

9. ความทุกข์ที่ถาโถมเข้ามาในชีวิตเรา…
จะหล่อหลอมให้เรา…
เป็นบุคคลที่่เเข็งแกร่ง…
และสามารถอยู่บนโลกใบนี้…
ได้อย่างเข้าใจและไม่เป็นทุกข์…
เพราะเรามีธรรมะอยู่ในใจเรียบร้อยแล้ว…

10. หลายๆครั้ง โอกาสผ่านมา แล้วก็ผ่านไป
เพราะอะไร เพียงเพราะเรา ไม่เห็นมัน

ไม่มีใครทำลายความหวังของเราได้
หากเราไม่ทำลายด้วยตัวของเราเอง

11. จิตที่ฝึกดีแล้ว…
ย่อมนำสุขมาให้…

แล้ววันนี้เราได้ฝึกจิตของตนเองแล้วหรือยัง…
ถ้ายัง…ก็หาโอกาสฝึกบ้างนะ….เจริญพร

12. ความสุขทั้งหลาย…
อยู่รอบตัวเรา…
แต่มักมองไม่เห็น…

ความสุขทั้งหลาย…
เริ่มต้นที่ใจเราเอง

13. รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ…
คือ ยาอายุวัฒนะ…

จงยิ้มให้กับตนเองและผู้อื่นให้มาก…
หรือถ้าหากไม่มีใครยิ้มให้เรา…
ก็จงยิ้มให้กัีบตัวเราเอง…
แล้ววันนี้เรายิ้มให้กับตัวเองแล้วหรือยัง….
ถ้ายังก็จงยิ้มเถิด จะหน้าบูดอยู่ใย…
ยิ้มสิ แล้วจะรู้ว่า ความสุขอยู่ไม่ไกล…

14. บุคคลที่มีจิตเมตตาต่อบุคคลอื่น…
อยู่ที่ไหนก็มักมีผู้อุปภัมถ์อยู่เสมอ…

เรียนรู้ที่จะให้ มากกว่าเรียนรู้ที่จะรับ…
ตื่นมาตอนเช้า…
อย่าถามตัวเองว่าเราจะได้รับอะไรจากสังคมแห่งนี้…
แต่จงถามตัวเองว่า เราจะให้อะไรกับสังคมนี้ดี…

เรียนรู้ที่จะให้ แล้วเราจะมีแต่ความสุข…เจริญพร
15. สำหรับบางคนที่ยังมีภาพอดีตที่แสนเจ็บปวด จงคิดในใจเสมอว่า
“ถ้าไม่ปล่อยมือจาก อดีต แล้วจะเอามือที่ไหนคว้าอนาคต” เจริญพร

16. ขอให้ท่านทั้งหลาย…
สว่างตานอกด้วยแสงไฟ…
แต่จงสว่างตาในด้วยแสงธรรม…

จำไว้เสมอว่า…
สิ่งที่ตาเห็น… กับสิ่งที่ปัญญาประจักษ์…
อาจจะไม่สอดคล้องกันเสมอไป…

…อย่าตัดสินคนอื่นเพียงแค่ตาเห็น…
แต่จงตัดสินด้วยการกระทำจะดีกว่า…

17. จงสู้เพื่อสร้างฝัน…
เก็บฝันนั้นมาไว้ในกำมือ…

ไม่มีใครทำลายความฝันเราได้หรอก…
นอกจากตัวเราเอง…

สู้เถิด…สักวันคงเป็นวันของเราบ้าง…
18. การกระทำใด…
ที่คิดว่า ดีแล้ว…
เหมาะสมแล้ว…
ก็กระทำเถิด…
แต่ถ้าคิด ว่า ไม่เหมาะสม…
เดือดร้อนเรา และผู้อื่น…
ก็อย่ากระทำ…
ดีชั่วอยุ่ที่ตัวทำ…ท่านทั้งหลาย…

19.รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ คือ ยาอายุวัฒนะ
จงยิ้มให้โลกนี้เป็นสีชมพู จะได้น่าอยู่…
20. ธรรมะกับความห่วงใย โปรดจงให้อภัยกันและกันเมื่อผิดพลั้งไป
21. ยามแ่ก่เฒ่าหมายเจ้าเฝ้ารับใช้…
ยามป่วยไข้หมายเจ้าเฝ้ารักษา…
เมื่อถึงยามล่วงลับดับชีวา…
หมายลูกยาปิดตาคราสิ้นใจ…

รักพ่อแม่ให้มากก่อนที่ไม่มีพ่อแม่ให้รัก…
ดูแลพ่อแม่ให้ดีก่อนที่จะไม่มีพ่อแม่ให้ดูแล…

22. ยึดติดกับเมื่อวานมากไปก็เป็นทุกข์…
สู้อยู่กับปัจจุบันแล้วทำให้เป็นสุขจะีดีกว่า…

23. ความดีที่เราทำ…จะหอมตามลมและทวนลม…
พึงระลึกอยู่เสมอว่า…ความดีสวยงามเสมอ…

24. พูดดี…อาจพบกับ…ความสำเร็จ…
พูดไม่ดี…อาจพบกับ…หายนะ….
คำพูดที่ไม่เป็นมงคล…อย่าฟัง…เพราะอาจทำให้เรา…เป็นทุกข์ได้…
คำพูดที่เป็นมงคล…ควรฟัง…เพราะอาจทำให้เรา…เป็นสุขได้…

25. มีสองอย่าง…ที่ติดตัวเราไปตลอด…
คือ…ความดี…กับความชั่ว…เท่านั้นเอง…

ยึดมั่นมาก…ก็ทุกข์มาก…
ยึดมั่นน้อย…ก็ทุกข์น้อย..

26. คนมองโลกในแง่ดี…จะมี …ความสุข…เข้ามาในชีวิต
คนมองโลกในแง่ร้าย..จะมี …ความทุกข์…เข้ามาในชีวิต

27. จงดำเนิน…ชีวิตนี้…ด้วยความไม่ประมาท…
เพราะความประมาท…เหมือนทำให้เรา…
จากโลกนี้ไปแล้ว…โดยสิ้นเชิง…

28. โกรธคือ…โง่
โมโหคือ…บ้า
ไม่โกรธ…ดีกว่า
จะไม่บ้าไม่โง่…

ความโกรธ…เป็นเครื่องบั่นทอน…จิตใจของเรา…
เมื่อโกรธเขา…จงแผ่เมตตาให้เขา…เสียดีกว่า…

29. อุปสรรค เป็นเหมือนเงา ที่มักจะใหญ่ตามความสำเร็จ
เพราะฉะนั้น คนแท้ไม่ท้อ คนท้อ ไม่แท้ เจริญพร
30. ชีวิตที่ขาดเป้าหมาย…ก็ไม่ต่างอะไร…กับเรือ…ที่ลอยเคว้งคว้าง…อยู่กลางมหาสมุทร…ที่ไม่รู้ว่า…จะไปถึงฝั่งได้อย่างไร…
31. เกิดอย่างไร…ไม่สำคัญ…สำคัญที่การ…ปฏิบัติตัวมากกว่า…(เกิดมาแล้ว…หมั่นสร้างบุญ…สร้างกุศล…ไว้เป็นทุน…เป็นดีที่สุด)
32. ความขยัน…มีแต่ทำให้…คนเจริญ…
ส่วนคนขี้เกียจ…มีแต่จะทำให้…คนล้มเหลว..

33. ความทุกข์…อยู่กับเราได้ไม่นานหรอก…เดี๋ยวมันก็จากไป…
34. ความสุข…ความทุกข์…เป็นเพื่อนหยอกเล่นกัน…
35. อะไรที่ตัดสินใจไปแล้ว
จงยอมรับผลของการตัดสินใจนั้น
ไม่ว่าจะดีหรือร้าย
เพราะย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว
แต่สามารถเรียนรู้จากมันได้

36. เกิดในที่ ที่ดี นั้นดีแน่..
37. เรียนรู้ทุกอย่าง…อย่างเข้าใจ…แล้วเราจะไม่เป็นทุกข์
38. ยิ้มกันเข้าไว้…โลกจะได้กลายเป็น…สีชมพู…และน่าอยู่
39. อย่าเอาชีวิตเราไปฝากที่เท้าใคร เพราะเมื่อเค้าเดินจากไป เราจะไม่เหลืออะไรเลย
40. ธรรมะสวัสดี กับวันศุกร์ที่หลายคนที่มีความสุข
ทุกท่านจงมีความสุขสวัสดีและมั่งมีศรีสุขทุกท่านๆ เจริญพร

41. ชีวิตนี้ไม่มีอะไรแน่นอน…
มีอย่างเดียวที่แน่นอน…
นั่นคือ…ความตาย…
ที่แต่ละคนไม่อยากพบเจอ…
แต่เป็นเรื่องจริง…
ที่ทุกคนหลีกหนีไม่พ้น…
ฉะนั้นจงดำเนินชีวิต…
ด้วยความไม่ประมาทเทอญ…

42. ในโลกใบนี้…เราสมมติขึ้นทั้งนั้น…
43. ‘วันพิเศษ’
คือวันที่เราอยากได้รับการดูแลเป็นพิเศษ
แค่คนพิเศษดูแลเราไปวันๆ นั้นจะกลายเป็นวันที่เราเศร้าเป็นพิเศษ เพราะแม่ไม่ใช่ยาคูลล์ รีบกตัญญ ก่อนหมดอายุ เจริญพร

44. ความรัก ไม่ใช่การประเคนของให้กัน
แต่ความรัก คือการมีส่วนร่วมซึ่งกันและกัน
และรักไม่ใช่การโอ้อวด
หากแต่รักคือการเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน เจริญพร

45. อารมณ์ขัน..เป็นสิ่งยอดเยี่ยมที่สุด..
ที่ช่วยรักษาสิ่งอื่นได้…
เพราะทันที-ที่เกิดอารมณ์ขัน
ความรำคาญ..และความขุ่นข้อง-หมองใจ..จะหายไป
กลับกลายเป็น..ความเบิกบานแจ่มใส..ของจิตใจ เข้ามาแทนที่ เจริญพร

46. ” สิ่งใดที่ควรได้ควรมี ก็จงพยายามทำให้สำเร็จ
สิ่งใดเกินกำลัง ก็จงยอมรับว่าแม้ยังไม่สามารถไขว่คว้ามาได้
ก็จะหาหนทางในคราวต่อไปเมื่อโอกาสมาถึงพร้อม ”

47. วันแม่แห่งชาติ เตือนสติคนไทยให้รัก บูชาพระอรหันต์ในบ้าน
ขออำนวยอวยพรทุกท่านที่จะมีความสุขและความรักที่งดงามตลอดไป

รักอื่นหมื่นแสนไม่แม้นรัก
เป็นรักแท้มอบให้ลูกชายหญิง
พร้อมปลิดชีพพลีร่างไม่ประวิง
เจ้าคือสิ่งสูงค้าแก้วตาเอย

48. “งานที่ดีคือ งานที่สนุกตอนทำ
และภูมิใจตอนเห็นงานเสร็จ” ธรรมะกำลังใจ เจริญพร

49. กับคนเลว ต้องยิ่งกวดขัน
กับคนดี สมควรผ่อนปรน
ย่อหย่อนไป คนชั่วได้ใจ
ตึงเกินไป จักเสียคนดี เจริญพร

50. เจริญพร ชาวพุทธทั่วโลก วันนี้เป็นวันสำคัญ อยากให้ข้อคิดสะกิดใจว่า “ร่าเริงบันเทิงใจ เป็นกำไรของชีวิต วันไหนหงุดหงิดชีวิตก็ขาดทุน” วันพระใหญ่แบบนี้ คิดดี พูดดี ทำดี สามัคคีกันนะโยม”
พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต

51. เข้าพรรษาปีนี้ รัก…
โกรธ…
เกลียด…
วิตกกังวล.. อาลัย … อาวรณ์..
อิจฉา… ริษยา…
หวง… หึง…ให้น้อยลงชีวิตเราคงก็มีความสุขมากยิ่งขึ้น เจริญพร
52. “ความกตัญญูไม่ใช่ส่วนเติมเต็มให้เป็นคนดีโดยสมบูรณ์
แต่มันเป็นพื้นฐานของคนดีถ้าหากไม่มีสิ่งนี้ตั้งแต่ต้น
คุณก็ไม่มีทางเป็นคนดีที่สมบูรณ์ได้” เจริญพร

53. บางทีเราไม่ได้ ” พ่ายแพ้ ” ให้กับอุปสรรคที่อยู่ตรงหน้าหรอก ,
แต่เราพ่ายแพ้ให้กับ “หัวใจ” ที่อ่อนแอของเราเองต่างหาก

54. สิ่งดีๆ” ในชีวิต.. ก็เก็บไว้คิดเป็น “กำลังใจ”..
“สิ่งร้ายๆ” ที่มันผ่านไป.. ก็จดจำไว้ เป็น “บทเรียน”.. เจริญพร

55. อย่าทำร้ายจิตใจคนแล้วค่อยมาเตือนสติเขา
คำพูดที่ดีเลิศจะไม่มีประโยชน์ต่อไป By พระมหาสมปอง

56. ขอบคุณความไม่มี ที่ทำให้รู้วิธีลุกขึ้นสู้
ขอบคุณความยากจน ที่ทำให้เป็นคนมุมานะ
ขอบคุณความผิดพลาด ที่ทำให้ฉลาดยิ่งกว่าเดิม
ขอบคุณความริษยา ที่ทำให้กล้าสร้างสรรค์สิ่งใหม่
ขอบคุณคำวิพากษ์วิจารณ์ ที่ทำให้ผลิบานอย่างไร้ข้อตำหนิ
ขอบคุณความไม่รู้ ที่ทำให้รู้จักครูชื่อประสบการณ์
ขอบคุณความผิดหวัง ที่ทำให้ตั้งสติและลุกขึ้นมาใหม่
ขอบคุณศัตรูที่แกร่งกล้า ที่ทำให้ว่าเรายังไม่ใช่มืออาชีพ
ขอบคุณความป่วยไข้ ที่ทำให้เราตั้งใจดูแลสุขภาพ
ขอบคุณความทุกข์ ที่ทำให้รู้ว่าความสุขมีค่าแค่ไหน
ขอบคุณความพลัดพราก ที่ทำให้เราสละจากความยึดมั่นถือมั่น
ขอบคุณความตาย ที่ทำให้ฉากสุดท้ายของชีวิตสมบูรณ์แบบ

57. สาระธรรมนำชีวิต
“อย่าถือดีกับคนที่นอบน้อม
อย่านอบน้อมกับคนที่ถือดี ” เจริญพร

58. “โลกสอนมนุษย์ว่าทุกสิ่งต้องมีการเปลี่ยนแปลง
แต่โลกก็กลับสอนให้มนุษย์ผูกพัน”

ฝนตก ฟ้าร้อง ให้กำลังใจ อดทนเข้าไว้ ฟ้าฝนก็ผ่านไปตามกาลเวลา เจริญพร
59. หน้าตาดี จะอยู่กับเรา 20 ปี
สมองดีจะอยู่กับเรา 40 ปี
ความดีจะอยู่กับคุณโยมไปตลอดชีวิต เจริญพร

60. ปริมาณของ “ความสุข”
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนของ “สิ่งดีๆ” ที่เราได้รับ
แต่อยู่ที่ “มุมมอง” ของเราที่มีต่อ “สิ่งเหล่านั้น” เจริญพร

61. อย่าทำ… ในสิ่งที่ไม่มีสิทธิ์
อย่าคิด… ในสิ่งที่ไม่มีค่า
อย่ารอ… ในสิ่งที่ไม่มีมา
อย่าไขว่คว้า…ในสิ่งที่ไม่มีจริง เจริญพร

62. “ใช้ชีวิตอยู่กับความจริง ยอมรับสิ่งที่เป็น มองเห็นข้อดีคนอื่น หยัดยืนด้วยขาตัวเอง”
หากเหนื่่อยท้อหมดกำลังใจ จงรีบสร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆ ในทันที เจริญพร
63. “รู้อย่างเดียวแต่ทำสำเร็จ
ดีกว่ารู้หลายอย่างแต่ทำไม่สำเร็จเลยสักอย่าง ”
กรณีเดียวกับ เหมือนกับรู้น้อยแต่ลงมือปฏิบัติ ดีกว่ารู้สารพัดแต่ไม่ลงมือ เจริญพร

64. ศีลไม่ได้อยู่ที่พระ
ธรรมะไม่ได้อยู่ที่วัด
เงินไม่ได้อยู่ที่เศรษฐี
แต่ศีลอยู่ที่กายใจของเรา
ธรรมะอยู่ที่สติ
และเงินอยู่ทุกที่ ที่มีความขยัน ธรรมะสวัสดี เจริญพร

65. อย่าเชื่อว่า เราทำไม่ได้ถ้าหากยังไม่ลงมือทำ
อย่าท้อแท้ ตราบใดที่เรายังไม่ได้พยายาม
อย่าสิ้นหวัง ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจอยู่
เรายังมีหวัง จงอย่าทำลายความหวัง
เพียงเพราะดูหมิ่นตัวเองว่า “เราทำไม่่ได้” เจริญพร

66. อยากจะรวย ขอให้รวยด้วยสุจริต
อยากจะคบมิตร ขอให้คบแต่คนดี
อยากจะตระหนี่ ขอให้ตระหนี่ความชั่ว
อยากจะกลัว ขอให้กลัวแต่บาปกรรม
เจริญพร

67. อย่าแบกอะไรที่เกินกำลังของตัวเอง
เพราะไม่เพียงแต่ มันจะทำให้เราเป็นทุกข์
แต่บางทีอาจมีผลต่อการยืนตรงๆ อย่างยาวนานของเราด้วย

68. “หนึ่งคนล้านความคิด หนึ่งคนคิดล้านความฝัน
หนึ่งคนล้านความสัมพันธ์ แต่เธอนั้นสำคัญกว่าล้านคน
จริงหรือเปล่าที่หลายคนบอกว่า
ความรักทำให้คนตาบอด แต่สุดยอดของคนตาบอดก็คือความรัก
แต่อาตมาว่า ความรักไม่ได้ทำให้ใครตาบอด
แต่คนต่างหากที่ยอมตาบอดเพราะความรัก” เจริญพร

69. “อย่าพยายามทำสิ่งที่ได้ ให้เท่ากับใจ
แต่จงพยายามทำใจ ให้เท่ากับสิ่งที่ได้มา”
ธรรมะสวัสดี By พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต

70. ปัจจุบันที่เรามีดีเพราะเมื่อวานเราทำไว้ดี
ในวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร
ก็เพราะการกระทำของเราในวันนี้
เพราะฉะนั้นแล้ว ทำวันนี้้ให้ดีที่สุด
แล้ววันพรุ่งนี้จะดีขึ้นเอง เจริญพร

71. อย่าเชื่อว่า เราทำไม่ถ้าหากยังไม่ลงมือทำ
อย่าท้อแท้ ตราบใดที่เรายังไม่ได้พยายาม
อย่าสิ้นหวัง ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจอยู่
เรายังมีหวัง จงอย่าทำลายความหวัง
เพียงเพราะดูหมิ่นตัวเองว่า “เราทำไม่่ได้” เจริญพร

72. ชีวิตนี้ไม่มีอะไรแน่นอน จะออกหัวออกก้อยก็ได้
เพราะฉะนั้นแล้ว จงดำรงชีวิตอยู่บนโลกใบนี้
อย่างมีสติ และไม่ประมาท เจริญพร

73. บางคน บางท่านอกหัก เสียใจกับความรัก
ขอเพียงเราตั้งใจคิดเสียใหม่ว่า
“ความรักไม่ใช่ การครอบครอง”
แต่มันคือการที่ได้ยืนมอง…..คนที่รักมีความสุข..เจริญพร

74. ชีวิตคือการต่อสู้ ศัตรูคือยาชูกำลัง
อุปสรรค คือหนทางแห่งความสำเร็จ
ขอให้เราทั้งหลายใช้สติปัญญาในการต่อสู้ต่อทุกสิ่งทุกอย่าง
ยินดีเผชิญหน้ากับศัตรู และกล้าฝ่าฟันอุปสรรค
สุดท้ายก็จะประสบผลสำเร็จแน่นอน เจริญพร

75. “สิ่งที่ผ่านมาแล้ว จะกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้อีก”
“ไม่ว่าใครจะตายหรือหายไป สุดท้ายโลกก็ยังหมุนต่ออยู่ดี”
“น้ำตาให้ได้แค่ความเห็นใจ”
“ในการที่จะเริ่มต้นทำสิ่งใด ทุกครั้งควรคิดถึงจุดจบด้วย”
ขอเป็นกำลังใจทุกๆ ท่าน เจริญพร

76. คนเราส่วนมากมักชอบเอาคำพูดที่ไม่ดีของคนอื่นมาคิดใส่หัว
ใส่อก ใส่ใจ สุดท้ายก็เลยทำให้ตัวเอง หนักหัว หนักอก หนักใจ เป็นทุกข์เลย ฉะันั้นแล้ว เรื่องบางเรื่องก็ปล่อยวางบ้างก็ดี
ถือก็หนัก วางก็เบา
แล้วตัวเราเองจะได้มีความสุขเพิ่มขึ้น เจริญพร…..

77. แม้ไม่ยิ่งใหญ่ แม้ไม่ร่ำรวย แม้ไม่เด่นดัง
แต่ถ้าได้มีชีวิตอยู่ อย่างไม่เบียดเบียนตนเอง
ไม่เบียดเบียนคนอื่น และทำประโยชน์ให้สังคมบ้าง
ย่อมไม่เสียที ที่ได้เกิดมาเป็นคน

78. สิ่งที่เรียกกันว่า โชคร้าย ไม่ได้มีมาทุกวัน
ขอเพียงตั้งสติให้มั่น มีจิตใจที่เข้มแข็ง
โชคร้าย ก็จะจากไปอย่างรวดเร็ว
และสิ่งที่เรียกว่า โชคดี ก็จะมาแทนที่
ธรรมะสวัสดี เจริญพร

79. อย่าโกรธฟุ่มเฟือย อย่าโกรธจุกจิก
อย่าโกรธไม่เป็นเวลา อย่าโกรธมาก
จะเสียสุขภาพกาย และสุขภาพจิต เจริญพร

80. “โอกาส”
เป็นสินค้าเฉพาะกลุ่ม
เกิดขึ้นได้กับบุคคลที่ไม่ยอมแพ้เท่านั้น

แล้วท่านทั้งหลายอยากไำด้รับโอกาสกันหรือเปล่า
หากอยากได้โอกาส ก็อย่ายอมแพ้ล่ะกัน เจริญพร

81. “เกิดในที่ ที่ดี นั้นดีแน่
เกิดในที่ ที่แย่ ก็ดีได้
เกิดในที่ ที่ดีแล้วแย่ มีถมไป
เกิดที่ไหน ก็ดีได้ ถ้าใฝ่ดี”
…………ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่เราเลือกเอง……………….

82. เมื่อเรารู้ว่าเราทำผิด
ต้องรีบขอโทษ
ไม่ต้องอาย
ไม่ต้องกลัวเสียฟอร์ม
การขอโทษคือการชนะที่ยิ่งใหญ่
คือการชนะใจของตนเอง

83. โลกใบนี้เป็นบ้านหลังใหญ่ หากเรากตัญญู เราก็จะเจริญรุ่งเรือง
พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต

84. คนที่มีบุญคือ คนที่ให้ทาน รักษาศีล เจริญพรภาวนา
เมื่อทำครบทั้งสามอย่าง ได้บุญบริบูรณ์แน่นอน

85. คนรู้ธรรมะชอบเอาชนะคนอื่น คนที่มีธรรมะชอบเอาชนะตนเอง
คำว่าเข้าวัด คือ วัดใจตนเองให้รู้ดีชั่ว ทำบุญ คือทำใจตนเองให้สะอาด
เจริญภาวนา แปลว่าทำใจให้เจริญ เมื่อจิตใจเจริญ
วาจาต้องเจริญ การกระทำต้องเจริญ
จึงจะเรียกว่า เจริญภาวนาที่ถูกต้อง

86. การแก้บนเป็นการแสดงออกถึงคนที่มีความซื่อสัตย์
ที่จริงแล้ว ถ้าเรามีความมุ่งมั่นตั้งใจ ทำอะไรก็สำเร็จ
เพราะคนที่ตั้งใจจริง ทุกคนจะเอาใจช่วย เจริญพร
หนทางสู่การเป็นคนดี
หนึ่ง เป็นบุตรที่ดีของมารดาบิดา
ทำให้มารดาบิดา ได้รับความอิ่มใจ
สบายใจตลอดกาล

สอง เป็นศิษย์ที่ดีของครูอาจารย์
เชื่อฟัง เคารพครูอาจารย์ จนบรรลุเป้าหมายสูงสุด

สาม เป็นเพื่อนที่ดี
คบเพื่อนดี อยู่ร่วมกันด้วยความสุข

สี่ เป็นพลเมืองที่ดีของชาติ
ดำรงชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

ห้า เป็นสาวกที่ดี เดินตามรอยของพระศาสดา
สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ย่อมรุ่งเรืองด้วยปัญญา

หนทางเหล่านี้
คือหนทางสว่าง ไปสู่… การเป็นคนดี

87. เรื่องขี้เมากับพระนักเทศน์จะเหมือนกับเส้นขนาน
หรือเหมือนฟ้ากับเหว จึงเกิดการโต้ตอบกันบ่อย บาปไม่บาป
แต่อาตมาว่า เรื่องของความเมา ไม่ดีทั้งนั้น
เช่น นักปราชญ์เมาวิชา นักวิปัสสนาเมาความดี
ทายกเมาบุญ ท่านขุนเมายศ นักเป่าเมาปี่
คนพวกนี้เวลาอยู่อาจมีคนรัก แต่เวลาจากไม่มีใครอาลัย

88. โยมจิตที่คิดจะให้มันจะเบา จิตที่คิดจะเอามันจะหนัก
โยมทำดีกับใครจงลืม ใครทำดีกับเราจงจำ
เมื่อโยมมีจิตใจดีแผ่เมตตาให้คนอื่น โยมความมีความสุข
ไม่ต้องรอให้ใคร่แผ่เมตตาให้เรา เพราะความสุขเริ่มจากตัวเรา จิตเราก่อน

89. เวลาโยมทำความดี อย่าฝากความดีไว้ที่ปากของคนอื่น
ถามว่าโยมทำดี เพื่อนบอกว่า ไม่ดีได้ไหม (ได้ถ้าเขาอิจฉาเรา)
แต่ถ้าเราทำไม่ดีบ้าง เพื่อนบอกว่าดีได้ไหม (ได้ถ้าเขาต้องการประจบเรา)
ฉะนั้นเราทำความดี เราต้องเชื่อมั่นในความดีที่เราทำ
อย่าเอาความดีที่โยมทำฝากไว้กับปากคนอื่น
อย่าเอาใจไปไว้กับหู ขอให้เอาหูมาไว้กับใจ

90. พ่อไม่เคยหลอกให้เราหลงรัก เพราะเราเต็มใจรักพ่อโดยไม่ต้องหลง
แม่อาจเคยตีให้เราเจ็บ แต่ไม่เคยทำให้เราเจ็บหัวใจ
พ่อแม่ไม่เคยบอกเลิกรักเรา ทั้งสายตาและการแสดงออก
พ่อแม่เห็นเราแก้ผ้าตั้งแต่เด็ก โดยไม่ติเรื่องรูปร่าง
ฉะนั้น บอกรักพ่อแม่ ไม่ยากเท่ากับบอกรักแฟน
ผมรักพ่อกับแม่ครับ หนูรักพ่อกับแม่ค่ะ

91. การทำความดี โดยไม่หวังผลตอบแทน
คุณจะได้ความสุขเป็นรางวัล
ความโลภ ไม่เคยทำให้ใครมีความสุขเลย

92. ทรัพย์แปลว่าเครื่องปลื้มใจ
โยมมีเงินมีทองก็ปลื้มใจในระดับหนึ่ง
ไม่ขัดสน ไม่ฝืดเคือง ไม่ข้นแค้น พอมีพอกิน
ไม่อดอยาก มีสถานภาพไม่ตกต่ำกว่าคนอื่น
นี่คือทรัพย์ทางวัตถุ ทรัพย์ทางโลก
แต่อริทรัพย์ ทรัพย์ทางธรรม เหนือกว่าทรัพย์ทั้งปวง มีหรือยังโยม

93. ใครที่อ่านหนังสือธรรมะหรือข้อความธรรมะบ่อย ๆ
อ่านมาก ๆ มันจะทำลายนิสัยแย่ ๆ
ที่ท้อแท้ อ่อนแอ ขี้เกียจ ไม่เอาเรื่องเอาราว เพิกเฉยดูดาย
แล้วถ้าเข้าใจธรรมะแล้ว ชีวิตจะดี มีจิตตานุภาพ
มีอานุภาพของชีวิต จะทำอะไรก็สัมฤทธิ์ผล
สำเร็จประโยชน์ ทั้งแก่ตนเองและสังคม รวมทั้งศาสนาและประเทศชาติ

94. หากโยมจะรัก ต้องรักให้เป็น ต้องให้เกิดประโยชน์
ทั้งแก่ตัวเอง และแก่คนที่โยมรัก
ไม่ใช่รักหมาเกลียดแมว หรือรักแบบหัวปักหัวปำ
รักคุด รักซ่อน รักนะเด็กโง่ ถ้าไม่โง่ไม่รัก
หรือรักประเภทขาดเธอไม่ได้ จะตายวันนี้ วันพรุ่ง
ขอให้รักแบบความรักคือการให้ การเสียสละ

95. ถ้าจะเตือนใคร ก็จงเตือนเฉพาะคนที่เตือนได้
96. เช้าวันหนึ่งโยมมาหาที่กุฎิด้วยสีหน้าเศร้าหมองมาก
ท่านเจ้าขา ดิฉันขับรถทับแมวตาย จะบาปไหมค่ะ
อาตมาเห็นโยมขวัญเสียอยู่ จึงตอบไปว่าไม่บาปจ๊ะ
โยมกลับไปด้วยสีหน้าผ่องใสพร้อมกำลังใจในการทำงาน
พอตกเย็นกลับมาถามอีก จริงหรือค่ะขับรถทับแมวตายไม่บาป
จริงจ๊ะโยมขับรถทับแมวตายไม่บาป แต่ถ้าทับแมวเป็นนะ บาปแน่นอน

97. แผ่นดินธรรม นำใจให้ไร้ทุกข์
แผ่นดินทอง พากายสุข ไม่ทุกข์เข็ญ
แผ่นดินเพชร มีความเด็ด คือร่มเย็น
เพราะว่าเป็น แผ่นดินไทย ไม่ไร้ธรรม

98. ไม่ชอบความคิดเพื่อนร่วมงาน เลยไม่อยากทำงานร่วมกับเค้าแบบนี้จะทำยังไงดี?
เจริญพร อย่าเอาความสุขไปฝากไว้ที่ปากของคนอื่น
อย่าเอาความสำเร็จไปไว้ที่การกระทำของคนอื่น
ความสุขและความสำเร็จมันอยู่ที่ตัวเราเอง

ต่างคน ต่างจิต ต่างชีวิต ต่างใจ
ขอยกตัวอย่างของภรรยาคนคนหนึ่ง
วัน ๆ ไม่ทำอะไร เอาแต่จับผิดคนข้างบ้าน

พอเห็นข้างบ้านซักผ้าก็มอง แล้วฟ้องสามีว่า
พี่ ๆ ดูบ้านโน้นสิ ไม่รู้ใช้ผงซักฟอกยี่ห้ออะไร
ผ้าดำ ๆ สามีบอกว่า อย่าไปยุ่งเรื่องของเขาเลย
ทำหน้าที่ตนเองให้ดีก็พอแล้ว

แต่เธอก็ยังทำ ทุกวันก็จะทำอยู่แบบนี้
วันหนึ่งเธอวิ่งมาด้วยความตกใจ
และร้องบอกสามีว่า พี ๆๆ
ไม่รู้วันว่าวันนี้บ้านโน้นใช้ผงซักฟอกยี่ห้ออะไรผ้าขาวจั๊วเลย

สามีตอบ เขาก็ใช้ยี่ห้อเดิมนั่นแหละ แต่พี่เช็ดกระจกบ้านเราเอง
สรุปว่า อย่ามั่วแต่จับผิดคนอื่น จงทบทวนตนเองว่า
เราได้ทำหน้าที่ของเราดีพอหรือยัง เจริญพร

99. มียาแก้เครียดสำหรับคนตกงานบ้างไหม?
ประการแรก อย่ากินเหล้า อย่าเล่นการพนัน อย่าเที่ยวกลางคืน
จะยิ่งเพิ่มความเครียด
การแก้ความเครียดที่ถูกคือ นั่งสมาธิ
แต่อันนี้ต้องมีพื้นฐานมาตั้งแต่ยังไม่เครียด

ประการที่สอง ความเครียดจะกลัวรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ
หัดยิ้ม หัดหัวเราะ หากิจกรรมทำ

ตอนนี้เรามีเวลาแล้ว ทำเวลาว่างงานให้มีความสุขที่สุด
ไม่ว่าจะมีเงินกี่ร้อยล้าน ก็ไม่สามารถซื้อเวลาได้
และที่สำคัญ ต้องมีกำลังใจ

จะกลัวความมืดทำไม พรุ่งนี้ก็เช้าแล้ว
หลังพายุผ่านไป ฟ้าย่อมสดใส
ความอบอ้าวจะมาก่อนฝน
ความลำบากยากจนจะมาก่อนความสุข

หลังผ่านปัญหาจะรู้ว่าปัญหาเล็กนิดเดียว
ใจเย็นๆ ค่อยๆ คิด และทำอย่างมีสติ

“ ถ้าคุณไม่สามารถ
ทำให้คนในที่นี้มีความสุขได้
สิ่งที่คุณทำได้คือ
ร่วมมีความสุขไปกับเขา ”

100. ชอบพูดให้คนอื่นทะเลาะกันแตกกัน ?? (หลวงพี่มาแล้ว)
เจริญพร
พูดถึงเรื่องการพูดนี้นะโยมมันเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง

เพราะเราต้องสื่อสารกันด้วยการพูด
ปากเราปากเดียว พูดได้ทั้งสองแบบ
คือให้คนรักกันก็ได้ พูดให้คนเกลียดกันก็ได้
โยมคำชมกับคำด่า เราชอบแบบไหน
พูดเพราะกับพูดคำหยาบ เราชอบแบบไหน
พูดให้คนรักกันสามัคคีกัน กันพูดให้คนทะเลาะ เราชอบแบบไหน
ถ้าเราต้องการให้คนพูดดี
ๆ เพราะๆ พูดให้คนรักกันสามัคคีกัน

สิ่งเหล่านี้มันต้องออกมาจากตัวเราก่อนนะโยม
พูดถึงเรื่องการพูด บางคนก็ชอบพูดข่มกัน
เหมือนเด็กสองคน เวลาคุยกัน
มักไม่ยอมแพ้กัน
กลัวเสียศักดิ์ศรี

เด็กคนแรกบอกว่า เรานี่รู้ชัด รู้จริงเรื่องนักมวย
เมื่อก่อนนะ มีนักมวยคนหนึ่งชื่อ
ไมค์ ไทสันนี่
หมัดหนักน่าดู
ใครเจอเข้าหมัดเดียว จอดเลย

สมัยนี้ก็มีแมนนี่ ปาเกียว
ใครเจอเข้าไปนะหมัดเดียวนะล้มทั้งยืน

นักมวยคนไหนที่ว่าเก่ง
ๆ เจอปาเกียวจอดทั้งนั้น

เด็กอีกคนพูดว่า เอ้ย
สู้พ่อเราไม่ได้

พ่อเราใช้แค่นิ้วเดียวก็จอดแล้ว
เอ้ย….อย่าขี้โม้ให้มากไปหน่อยเลย จอดได้ไงว๊ะ
เอ้า ก็เวลาขึ้นรถเมล์ พ่อเราใช้นิ้วเดียวกดกริ่ง รถเมล์จอดเลย
สรุป พูดให้คนอื่นแตกแยกกันไม่ได้ทำให้ตนเองดีขึ้น
มีแต่ทำให้ตนเองต่ำลงเจริญพร
——————————-จากรายการหลวงพี่มาแล้ว โดยพระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต
101. ยืนอ่านหนังสือในร้านหนังสือแต่ไม่ยอมซื้อ เราบาปไหม?
เจริญพร ไม่บาปหรอกโยม
บางร้านเขาจัดที่อ่านหนังสือให้ลูกค้าด้วยซ้ำไป

เป็นความภูมิใจของนักเขียนที่โยมสนใจในการอ่าน
อาตมาได้อ่านข่าวแล้วตกใจมาก
ประเทศไทยเราคนอ่านหนังสือน้อยมาก
เฉลี่ยแล้ว คนละแปดบรรทัดต่อปี ต่อคน
ตอนนี้ได้ข่าวว่า อ่านเพิ่มเป็นก้าวบรรทัดแล้ว
เมื่อพูดถึงเรื่องอ่านหนังสือต้องยกให้ไอ้แกละนะโยม
วันหนึ่ง อาตมาได้ออกหนังสือใหม่เล่มหนึ่ง
ไอ้แกละเดินมาถามว่า พระอาจารย์ครับ
หนังสือพระอาจารย์อ่านหน้าไหนถึงจะคุ้มครับ
หน้าสิบสิพูดถึงเรื่องการให้กำลังใจ ไม่ใช่ครับพระอาจารย์
งั้นหน้าสามสิบพูดถึงเรื่อง งานได้ผลคนเป็นสุข
ไม่ถูกครับพระอาจารย์ แล้วหน้าไหนละไอ้แกละ
หน้าร้านขายหนังสือไงครับพระอาจารย์ คุ้มค่าที่สุด
อาตมาก็พูดว่า ขอบใจมากแกละ
ที่สนับสนุนหนังสือพระอาจารย์ทางสายตา
ถ้าเอาเรื่องดี ๆ ที่อ่าน นำไปใช้ในชีวิต ไปสอนคนอื่นต่อ
สรุปว่า ไม่บาป
เป็นการให้แสงสว่าง ให้ปัญญาคนอื่น เมื่อเขาได้ปัญญาแล้ว

จะทำให้โยมได้บุญอีกต่างหาก เจริญพร
———–พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต รายการหลวงพี่มาแล้ว

102. ขัดใจแม่ในวันแม่ บาปกว่าวันอื่นหรือไม่ [หลวงพี่มาแล้ว]
เจริญพร บาปกว่าแน่นอน เรียกว่าบาปสะสมแต้ม

เรียกว่าทำความชั่วเป็นอาจิณ แม่เห็นหน้าแทบอาเจียน
ขึ้นชื่อว่าทำความชั่ว ทำให้แม่ทุกข์ วันไหน ๆ ก็บาปเหมือนกันนะโยม
ทุกอย่างในโลกนี้ล้วนมีความสำคัญอยู่ในตัวอยู่แล้ว
ยิ่งเป็นผู้ที่ให้กำเนิด มีความสำคัญยิ่งเหนือสิ่งใด
อะไรที่ทำให้ท่าน มีความสุขทั้งกายและใจลูกต้องรีบทำ
พ่อแม่ไม่ต่างอะไรจากเล่มเทียน เทียนแห่งแสงสว่างแก่คนอื่นมากเพียงไร
ลำตัวของเทียนก็จะสั้นลงทุกขณะ สุดท้ายเทียนจะเหลือเฉพาะไส้ดำ ๆ
ที่วางบนเชิงเทียน

สุดท้ายชีวิตของพ่อแม่ก็จะเหลือแต่กระดูกและขี้เถ้าให้ลูกไปรับบนเชิงตะกอน
ถามว่าเทียนร้อนไหม ก็ต้องตอบว่าร้อน สังเกตจากน้ำตาลเทียนที่หลั่งมาบนเชิงเทียน
ถามว่าแม่ร้อนไหม ก็ต้องตอบว่าร้อน สังเกตจากหยาดเหงื่อ
และหยาดน้ำตาที่หลั่งออกมาเพราะการกระทำของลูกบางคน
บางคนบอกว่าแม่ไม่เลยรักหนูเลย หนูเกลียดแม่
หลายครั้งที่แม่บอก แม่เตือน
แม่สอน ลูกกลับบอกว่าไม่ต้องมายุ่งกับหนู

หนูโตแล้ว บางคนบอกว่าไม่ต้องมายุ่งกับกู
ถ้าจะบอกว่าไม่ต้องมายุ่งกับหนู บอกตอนนี้ไม่ทันหรอกลูก
เพราะท่านยุ่งกับเรามาจนโตแล้ว
ถ้าจะบอกว่าไม่ต้องยุ่งกับหนู
ก็ต้องบอกตั้งแต่วันแรกที่ท่านคลอดเรามาเลย

แม่เบ่งปั๊บ ร้องอุแว๊
แล้วพูดเลยว่า
ไม่ต้องมายุ่งกับกู
กูจะหานมกินเอง หาข้าวกินเอง

จะเก็บส่งตัวเองเรียนเอง ไปเลย
ท่านจะได้สบายใจ

สรุปว่า วันไหน ๆ ลูกก็ต้องทำความดีต่อท่านให้มาก
ๆ เวลาแม่สอนเรา

ลูกต้องจับประเด็นให้เป็น อย่าจับประเด็นที่ปาก ให้จับประเด็นที่ใจ
ปากท่านดุ แต่ใจท่านรักเรามากมาย ส่วนแม่ก็เหมือนกัน ปากกับใจต้องตรงกัน
ใจห่วง ปากก็ต้องพูดด้วยความรักความห่วงใจ เมื่อโยมทำได้จะมีความสุข ทั้งแม่และลูกเจริญพร
—————————-พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต รายการหลวงพี่มาแล้ว

103. อยากรู้ว่าทำไมจีวรของพระสงฆ์ ถึงมีหลายสี เช่นสีเลือดหมู น้ำตาล ส้ม ปกติแล้วควรจะเป็นสีอะไร?
เจริญพร ที่มีหลายสี
ไม่ใช่อิทธิพลของการเมือง

แต่เป็นอิทธิพลของสีจากเปลือกไม้ จึงให้มีสีต่างกัน
พระพุทธเจ้ามีดำรัสว่า
“ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตน้ำย้อม 6 ชนิดสำหรับย้อมจีวร
คือ

น้ำย้อมจากรากไม้ น้ำย้อมจากต้นไม้ น้ำย้อมจากเปลือกไม้
น้ำย้อมจากใบไม้
น้ำย้อมจากดอกไม้ และน้ำย้อมจากผลไม้”

เมื่อย้อมเสร็จแล้วจีวรจะออกมาเป็นสีกรัก
สีเหลืองหม่น

หรือสีเหลืองเจือแดงเข้มเหมือนย้อมด้วยแก่นขนุน
สีจีวรที่ต้องห้าม
คือ

1. สีเขียวคราม สีเหมือนดอกผักตบชวา 2. สีเหลือง สีเหมือนดอกกรรณิการ์
3. สีแดง สีเหมือนชบา 4. สีหงสบาท สีแดงกับเหลืองปนกัน
5. สีดำ สีเหมือนลูกประคำดีควาย 6. สีแดงเข้ม สีเหมือนหลังตะขาบ
7. สีแดงกลาย แดงผสมคล้ายใบไม้แก่ใกล้ร่วง เหมือนสีดอกบัว
เมื่อถึงเครื่องนุ่งห่มของพระ เป็นอมตะมาโดยตลอด
ไม่เคยตกยุค ไม่เคยล้าสมมัย เรียกว่าชุด
สาม ป.

ประหยัด ประโยชน์
ประสิทธิภาพ สวมใส่ได้ทุกงาน ชนิดที่ว่า

ชุดกินชุดเที่ยวชุดเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นงานศพ งานแต่ง
ขึ้นบ้านใหม่ ย้ายบ้านเก่า

หมาไล่กัด ควายไล่ขวิด ก็ชุดนี้
เคยไปสอนเด็กอนุบาล เด็กเห็นผ้านุ่งพระ
ก็พูดว่า พระ พระ
พระ ใส่กระโปงด้วยหรือ

อย่าว่าแต่เด็กเลย บางทีผู้ใหญ่ก็ไม่รู้ ผ้านุ่งเรียกสบง ผ่าห่มเรียกจีวร
ผ้าห่มซ้อน หรือที่เห็นห่มจีวรแล้วเอามาพาดไหล่ซ้าย เรียกสังฆาฏิ
สรุปว่า ที่มีหลายสีเพราะย้อมจากรากไม้ เปลือกไม้
จะเป็นสีไหนก็ได้ ขอให้ถูกต้องตามวินัยบัญญัติ และปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เจริญพร
————————–พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต รายการหลวงพี่มาแล้ว
104. ก่อนเรานอนอยากรู้ว่าต้องสวดมนต์บทไหนบ้าง[ธรรมะจากรายการหลวงพี่มาแล้ว]
เจริญพร สวดบทบูชาพระรัตนตรัย พุทธคุณ
ธรรมคุณ สังฆคุณ

บทต่อไปบทใดก็ได้ ตามความสะดวก
สุดท้ายก็นั่งสมาธิ
และแผ่เมตตา

อานิสงส์ของการสวดมนต์แผ่เมตตามีดังนี้ คือ
หลับเป็นสุข ตื่นเป็นสุข ไม่ฝันร้าย
เป็นที่รักของมนุษย์ และอมนุษย์ทั้งหลาย
เทวดาย่อมรักษา ไฟ ยาพิษ ศัสตรา ไม่ล่วงเกิน
จิตได้สมาธิเร็ว สีหน้าผ่องใส ไม่หลงตาย
เมื่อยังไม่บรรลุ ธรรม ย่อมเข้าถึงพรหมโลกชั้นสูง
บางคนดูภายนอกเหมือนจะธรรมะ ธรรมโม
แต่ที่ไหนได้เป็นคนขี้โมโห เป็นนักเลงโต
พยายามหาเวลาเหมาะ ๆ ที่แก้เผ็ดคู่อริอยู่ตลอดเวลา
เรียกว่า สิบปีแก้แค้นยังไม่สาย
ที่จริงเลือดต้องล้างด้วยแฟ๊บ แต่บางคนบอกว่าเลือดต้องล้างด้วยเลือด
มันก็ยิ่งเปื้อนเข้าไปใหญ่ แค้นต้องล้างด้วยเมตตา
ด้วยความแค้น โยมคนนั้น
ก็เลยถือโอกาสช่วงที่สวดมนต์ระบายความในใจมันซะเลย
องค์ใดพระสัมพุทธ สุวิสุทธิ์
ธ สันดาน ตัดมูลกิเลสมาร

กำจัดน้ำใจหยาบ สันดานบาปแห่งชายหญิง
เมื่อถึงบทปลงสังขาร ก็ได้จังหวะก็ใส่เต็มที่เลย
เห็นแต่ฝูงแร้ง เห็นแต่ฝูงกา เห็นแต่ฝูงหมา ยื้อแย่งกันกิน
สรุปว่า
ตามธรรมเนียมปฏิบัติก็สวดบทบูชาพระรัตนตรัย และต่อด้วย
บทพุทธคุณ

ธรรมคุณ สังฆคุณ
และแผ่เมตตา
นอกจากนี้สวดบทไหนก็ได้

ขอให้จิตมีสมาธิ และนำธรรมะมาปฏิบัติเพื่อให้พบความสุขยิ่งขึ้นไป เจริญพร
————–พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต…รายการหลวงพี่มาแล้ว

105. บนไว้นานมากแล้วแต่ยังไม่มีโอกาสได้แก้บน แบบนี้จะมีผลกระทบต่อผู้บนอย่างไรบ้าง[พระมหาสมปอง]
บนไว้นานมากแล้ว
แต่ยังไม่มีโอกาสได้แก้บน แบบนี้จะมีผลกระทบต่อผู้บนอย่างไรบ้าง

เจริญพร ถามมีผลไหม
ก็ตามตรงว่ามี
ถ้าคนนั้นเป็นคนที่มีความเชื่อ

เรื่องโชครางของขลัง เชื่อเรื่องการบนบานสานกล่าว
อยากจะให้ข้อคิดโยมว่า เราจะเจริญหรือตกต่ำ
ไม่ได้อยู่ที่ใครหน้าไหนเลย แต่อยู่ที่การกระทำของเราเอง
เป็นเรื่องของการเสาะหา ไม่ใช่เกิดมาเป็น
เป็นเรื่องของการต่อสู้ ไม่ใช่นั่งดูดวง
เป็นเรื่องของการฟันฝ่า ไม่ใช่ฟ้าบันดาล
เป็นเรื่องของความเชี่ยวชาญ ไม่ใช่โชคช่วย
เรื่องแบบนี้ก็เห็นกันมากมายหลายคน
ที่บนบานสานกล่าวแล้วไม่กล้าที่จะไปแก้บน
เหมือนโยมคนหนึ่งหน้าตาเศร้ามาก
อาตมาก็ถามว่าเป็นอะไรหรือโยม หน้าตาเศร้าจัง
คือว่าหนูไปบนกับเจ้าปู่ไว้ค่ะ ถ้าหนูถูกหวยหนูจะมาแก้บน
พอดีหนูถูกหวยจริง
ๆ ได้เงินแสนกว่าบาท

อาตมาก็บอกว่า แล้วโยมกลุ้มใจอะไร ก็เรื่องที่บนนั่นสิหลวงพี่
แล้วโยมบนอะไรไว้ ก็ปล่อยนกปล่อยปลาค่ะหลวงพี่
แล้วมันน่ากลุ้มตรงไหน กลุ้มสิค่ะ
นกที่บนไว้

เป็นนกแก้วมาคอร์ ปลาที่บนไว้เป็นวาฬ
นกแก้วมาคอร์แค่ลูกมันตัวละแสน ปลาวาฬตัวละสามแสน
หลวงพี่ว่าหนูควรกลุ้มไหมค่ะ…..อาตมาก็พูดได้คำเดียวว่า ควร
สรุปว่า
การแก้บนเป็นการแสดงออกถึงคนที่มีความซื่อสัตย์

ที่จริงแล้ว ถ้าเรามีความมุ่งมั่นตั้งใจ ทำอะไรก็สำเร็จ
เพราะคนที่ตั้งใจจริง ทุกคนจะเอาใจช่วย เจริญพร
————————–++———————พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต รายการหลวงพี่มาแล้ว

106. ดีแต่ตัว…[หลวงพี่มาแล้ว]
เข้าวัด ทำบุญ เจริญภาวนามากๆ
พอเจอใครที่ทำบุญน้อยก็เที่ยวไปว่าเค้าไม่ดี ไม่ยอมเข้าวัด ไม่ชอบทำบุญ
แบบนี้ถูกแล้วควรแล้วหรือไม่ (แล้วแก้อย่างไร)

เจริญพร คนรู้ธรรมะชอบเอาชนะคนอื่น คนที่มีธรรมะชอบเอาชนะตนเอง
คำว่าเข้าวัด คือ
วัดใจตนเองให้รู้ดีชั่ว
ทำบุญ คือทำใจตนเองให้สะอาด

เจริญภาวนา แปลว่าทำใจให้เจริญ เมื่อจิตใจเจริญ
วาจาต้องเจริญ การกระทำต้องเจริญ
จึงจะเรียกว่า เจริญภาวนาที่ถูกต้อง
แก้ไม่ยาก แก้ที่ความคิด เมื่อความคิดดี
คำพูดก็จะดี เมื่อคำพูดการกระทำก็จะดี
เมื่อการกระทำดี ผลลัพธ์ก็ออกมาดีด้วย
เมื่อพูดถึงเรื่องการเข้าวัดทำบุญ ยายคนหนึ่งเขาวัดทำบุญเป็นประจำ
แต่ข้อเสียของแกคือ ชอบทำบุญเอาหน้า ชอบว่าคนอื่นไม่ดี
วันหนึ่งขณะที่แกกำลังเดินข้ามถนนเผชิญ
มีรถเสียหลักมาชนร่างยายอย่างจัง ทำให้แกตายค่าที
เมื่อวิญญาณมาถึงท่านยม ก็ได้กางคัมภีร์หนังสุนัข
จึงรู้ว่าเอาวิญญาณมาผิดคน และบอกยายว่า
ยายจะอยู่ได้อีกประมาณ 30 ปี

เมื่อแกมาถึงโลกมนุษย์ก็ได้เข้าไปทำศัลยกรรม
ทำหน้าสวยแอ๊บแบ๊ว เหมือนสาวเกาหลี
ขณะที่แกกำลังเดินกลับบ้าน รถชนกันเสียหลักมาชนยายตายคาที
เมื่อแกไปถึงยมบาล ก็ฟ้องท่านยมว่า ท่านยมคะ
ไหนบอกว่าดิฉินจะอยู่ได้อีกตั้ง 30 ปี นี่แค่เดือนเดียวอีก
ท่านยมบอกว่า โทษทีหน้าตาเปลี่ยนไปจำไม่ได้
เพราะคนที่ว่าจะอยู่อีก 30 ปี หน้าตาไม่ได้เป็นแบบนี้
สรุปว่า เมื่อโยมทำความดีแล้ว จึงอย่าลดค่าของคนอื่น
เมื่อจิตของโยมเจริญแล้ว จงส่งเสริมให้คนอื่นมีจิตที่เจริญ
และทำด้วยจิตที่ปรารถนาดีต่อกันและกัน เจริญพร
————-พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต รายการหลวงพี่มาแล้ว ช่อง 3

107. อนุโมทนาบุญย้อนหลังได้นานแค่ไหน..lll หลวงพี่มาแล้ว lll
เจริญพร เสียงอาจจะแห้งไม่ไพเราะ ต้องขออภัย
หากผิดพลาดไม่ถูกใจ ขอซันไล ซักลัง

อนุโมทนา เป็นการร่วมยินดี กับความดีที่ผู้อื่นได้ทำ
เป็นการสร้างบุญประการหนึ่ง ในการทำบุญ 10 วิธี
การอนุโมทนาบุญนั้น ควรกระทำทันที่ที่ได้รับรู้
ไม่จำกัดด้วยขอบเขตของกาลเวลา
ขึ้นอยู่กับขณะของจิต หากรับรู้ถึงความดี
ที่คนอื่นเขาทำ ก็มีจิตยินดีกับความดีนั้น

อย่างชายหนุ่มคนหนึ่งอ่านหนังสือพิมพ์
พบเรื่องของนักแสดงสาวสวย
แต่งงานกับนักกีฬาที่มีชื่อเสียงโด่งดังแต่ไอคิวต่ำเหลือหลาย เขาจึงหันไปพูดกับภรรยาว่า “ทำไมผู้ชายโง่ ๆ ถึงได้มีเมียสวยนะ” ” จะเพราะอะไรก็ช่างเถอะ แต่ขอบคุณนะที่ชม” ภรรยากล่าว

สรุป การอนุโมทนาบุญ เป็นการยินดีกับความดีที่คนอื่นทำ และพร้อมที่จะน้อมนำ
ความดีนั้นมาสู่จิตใจของตนเอง การอนุโมนทนาบุญ ไม่จำกัดด้วยเงื่อนเวลา
ขึ้นอยู่กับภาวะจิต ว่าโน้มนำไปสู่ความดีนั้นแค่ไหน เจริญพร

————————-พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต รายการหลวงพี่มาแล้ว
108. มีแฟน 2 คน ไม่กล้าทิ้งใครซักคน เพราะกลัวมีคนเสียใจแล้วจะบาป!!!!!
เจริญพร ที่จริงมันบาปตั้งแต่คิดที่จะมีแฟนสองแล้ว อย่างนี้เขาเรียกว่า แฟนอยู่บนหิ้ง กิ๊กอยู่ในตู้ ชู้อยู่ใต้เตียง อาจจะเสี่ยงกับความตายแบบไม่รู้ตัว นะโยม
เรื่องของคู่รัก คู่ครองนี้เป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งของชีวิตคู่ โยมจะต้องมีความซื่อสัตย์ มีความจริงใจต่อกันต้องรักเดียวใจเดียว บางคนบอกว่าผมมีความรักแค่ครั้งเดียวแต่โรเนียวได้หลายรอบ
อยากบอกโยมว่า ภัยที่น่ากลัวในปัจจุบันไม่อุทกภัย อัคคีภัย วาตภัย เพราะภัยเหล่านี้ เราสามารถป้องกันได้ เช่นอุทกภัย ท้องฟ้าครึ้ม น้ำซึมมาเราก็รู้อัคคีภัย มีควันขึ้น รถดับเพลิงวิ่งขวักไขว่เราก็รู้วาตภัย ลมพัดมาใบไม้ไหวเราก็รู้
แต่ภัยที่น่ากลัวของคู่รักคือ กิ๊กภัย มันจะมาแบบเงียบ ยิ่งเงียบยิ่งน่ากลัว คือเข้าบ้านใด บ้านนั้นบ้านแตก สาแหรกขาดเลยที่เดียว
ขอบอกว่า เพื่อน ก็เหมือนน้ำ เฉยๆ แต่ขาดไม่ได้ แฟน ก็เหมือนข้าว หิวไม่หิวก็ต้องกิน ชู้ ก็เหมือนสุรายาเมา ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่ดียังแอบกินขโมยกิน โยม..ว่าไหม
สรุปว่า ถ้าโยมไม่อยากบาป ก็อย่าสร้างวิบากแห่งความชั่ว เพราะว่า ที่ใดมีกิ๊กที่นั่นมีกรรม….ชั่ว ……………เจริญพร —————————พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต หลวงพี่มาแล้ว………..